วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554

"องคุลีมาล" กฏแห่งกรรมสมัยพุทธกาล

ตราบใดที่ยังไม่สามารถกำจัดอาสวกิเลสให้หมดสิ้นหมดจดได้ ตราบใดที่ยังมีกรรมผูกพันร้อยรัดอยู่ด้วยกฎแห่งกรรม ตราบนั้นการเวียนว่ายตายเกิดย่อมจะเวียนวนอยู่ไม่มีที่สิ้นสุด

ในภพชาติหนึ่ง... ด้วยผลแห่งอกุศลกรรมมีพลังเข้มข้นกว่ากุศลกรรม จึงทำให้จิตวิญญาณหนึ่งมาเกิดในครรภ์ของแม่ควายป่า เมื่อเจริญอยู่ในครรภ์ครบถ้วนตามกาลกำหนดได้คลอดออกมาเป็นลูกควายเพศผู้แ้ล้วเติบโตเป็นควายหนุ่มฉกรรจ์กำยำมีพละกำลัง และแกล้วกล้าอาจหาญยิ่งกว่าควายป่าตัวใดได้ถือกำเหนิดมาแต่กาลก่อน

ควายป่าตัวนี้ไม่เกรงกลัวผู้ใดสัตว์ป่าที่ดุร้ายแค่ไหนก็ตามถูกควายป่าตัวนี้กำราบปราบปรามจนพ่ายแพ้กระเจิดกระเจิงไปหมดสิ้น ดังนั้นไม่ว่าควายป่าจอมมหิงษาจะย่างกรายไปที่ใด สัตว์ป่าทั้งหลายจึงหลีกเร้นหลบหนืไม่ยอมขวางหน้าหรืออยู่ใกล้ 
.
.
ด้วยความคะนองลำพองควายป่าตัวนี้จึงออกจากเขตป่ามาอาละวาดประกาศศักดาทำร้าย ช้าง, ม้า, วัว, ควายของชาวบ้านจนบาดเจ็บล้มตายไปมากมาย ทำให้เกิดความเดือดร้อนไปทั่ว และทำให้ชาวบ้านทั้งหลายเกิดความโกรธแค้นจอมมหิงษาตัวนี้เป็นอย่างยิ่ง เหตุนี้ชาวบ้านจึงวางแผนจะกำจัดควายป่าตัวร้ายให้หมดสิ้นไปด้วยกลอุบายอันชาญฉลาด เพราะจะต่อสู้เข่นฆ่ามันซึ่งๆหน้าหาได้ไม่

ชาวบ้านจึงช่วยกันสร้างคอกอย่างแข็งแรงขึ้นคอกหนึ่งแล้ทำทางเข้าเป็นรั้วแข็งแรงขนาบสองข้าง ตรงปากทางเข้าทำเอาไว้กว้างใหญ่แล้วสอบแคบเข้าไปพอครือๆตัวควาย กระทั่งแคบที่สุดจนไม่สามารถลอดผ่านไปได้ พร้อมกันนั้นได้เตรียมไม้ท่อนยาวสำหรับสอดเข้าไปขวางกั้นทั้งด้านหน้าด้านหลังเอาไว้ด้วย จากนั้นก็ได้นำควายหนุ่มๆไปขึงล่อไว้ในคอกกลแห่งนี้

เมื่อควายป่าจอมมหิงษาออกมาจากราวป่าเพื่อหาคู่ประเขาด้วยความคึกลำพองแต่ไม่มี ช้าง, ม้า, วัว, ควายให้เห็นแม้แต่ตัวเดียวจึงย่ำเดินผ่านท้องทุ่งลึกเข้ามา คราวนี้ก็มองเป็นคอกขังควายหนุ่มจอมมหิงษาจึงทะยานเข้าใส่ตามวิสัยคะนอง ทางเข้าเปิดเป็นช่องกว้างเข้าไปควายป่าก็ควบเข้าทางนั้นแล้วก็ไปติดตรงช่องทางซึ่งตีบแคบจนตะลุยบุกเข้าไปไม่ได้

ชาวบ้านทั้งหลายซึ่งซุ่มคอยทีอยู่จึงกรูกันออกมาเอาไม้ท่อนสอดเข้าไปขัดทางด้านหลัง และด้านหน้าควายป่าจะถอยก็ไม่ได้จะผกโผนขึ้นข้างบนหรือเดินหน้าก็ไม่ได้ คราวนี้จึงเป็นโอกาสให้ชาวบ้านจำนวนมากมายใช้ศาสตราอาวุธฟาดฟันทิ่มแทงจอมมหิงษาจนตายคาที่

ก่อนจะสิ้นใจตายควายป่าซึ่งบันดาลโทสะและโกรธแค้นสุดขีดได้อาฆาตพยาบาทจองเวรชาวบ้านทุกคนที่รุมฆ่ามันว่า หากได้เกิดชาติหน้าเมื่อใดขอให้มาเกิดร่วมกัน ชาตินี้พวกเจ้าร่วมกันฆ่าข้า ชาติหน้าข้าคนเดียวจะตามฆ่าพวกเจ้าให้หมดทุกคน

หากมองดูความเป็นจริงในข้อที่ว่าควายป่าจอมมหิงษาตัวนี้สมควรจะให้ชาวบ้านร่วมมือกันกำจัดย่อมเป็นการถูกต้องและเหมาะสมแล้ว เพราะมันคือตัวการที่สร้างความเดือนร้อนแก่ผู้คนก่อน ความคะนองลำพองของมันทำให้สัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงไว้ใช้งาน คือช้าง, ม้า, วัว, ควายของชาวบ้านบาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก เมื่อวัว, ควายบาดเจ็บเจ้าของใช้งานใช้ให้ทำประโยชน์ไม่ได้ก็ย่อมทำให้เขาโกรธแค้นเป็นธรรมดา และสมควรอย่างยิ่งที่ต้องกำจัดหรือฆ่ามันเสียเพื่อหยุดยั้งเภทภัยเพียงเท่านี้

แต่เรื่องของ “กรรม” เป็นเรื่องละเอียดอ่อนซับซ้อนยากยิ่งที่ผู้ใดจะหยั่งรู้ได้ นอกจากพระสัพพัญญูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น เพราะสัตว์โลกซึ่งยังมิอาจข้ามพ้นห้วงแห่งโอฆะได้ย่อมเกิดตายเวียนว่ายอยู่เช่นนี้มิรู้กี่แสนกี่ล้านชาติ และแต่ละอดีตชาตินั้นก็ได้สร้างกรรมทั้งกุศลและอกุศลคละเคล้ากันไป พลังแห่งกรรมในแต่ละภพชาตินั้นๆย่อมส่งให้มาเกิดพร้อมทั้งมีกรรมดีกรรมเลวผูกพันร้อยรัดอยู่อย่างแนบแน่น และต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้นตามแต่กำลังแห่งกรรมใดจะส่งผลก่อนหรือส่งผลทีหลัง

เหตุนี้การถือกำเนิดมาของควายป่าจอมมหิงษาตัวนี้จึงเกิดมาตามผลแห่งกรรมตน พฤติกรรมทั้งหลายก็เ็ป็นไปตามเศษแห่งกรรมที่ติดตัวมา ตราบถูกชาวบ้านรุมล้อมเข่นฆ่าจนสิ้นชีวิตก็คือผลแห่งกรรมอย่างหนึ่ง หากควายป่าไม่มีจิตอาฆาตพยาบาทด้วยโทษจริต “กรรม” ก็ย่อมไม่ผูกพันด้วยการจองเวรกับชาวบ้านที่รุมฆ่าตน แต่เมื่อตายไปพร้อมกับจิตร้อนระอุด้วยไฟโทสะจึงเกิดกรรมผูกพันระหว่างกันสืบต่อไปอีก
ควายป่าจอมมหิงษาตายไปแล้วก็ไปเกิดในชาติใหม่เป็นลูกชายท่านปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศลพระราชาผู้ครองเมืองพาราณสี

ชาวบ้านที่รุมฆ่าควายป่ารวมทั้งผู้ที่ร่วมจิตเจตนาในการฆ่าควายป่านี้ เช่นช่วยกันทำคอก ช่วยกันคิดหาวิธีฆ่า รวมทั้งมีจิตเจตนาอยากฆ่า อยากเห็นควายป่าตาย ครั้นควายป่าตายก็เกิดความปิติปราโมทย์ในการตายนั้นด้วย (เป็นผู้ร่วมอยู่ในอกุศลกรรมเดียวกัน) ต่างก็ไปเกิดเ็ป็นคนอยู่ในเขตเมืองพาราณสีและในเมืองใกล้เคียงทั้งหมด

เหตุการณ์สำคัญตอนที่บุตรชายท่านปุโรหิตคลอดออกมาจากครรภ์มารดาได้เกิดเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้นอย่างหนึ่ง นั่นคือพระแสงประจำพระองค์ของพระเจ้าปเสนทิโกศลเกิดแสงสว่างโชติช่วงลุกเป็นไฟขึ้นมาเอง พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงเรียกท่านปุโรหิตมาถามว่าเหตุที่เกิดขึ้นเช่นนี้มีความหมายว่าอย่างไร

ท่านปุโรหิตได้กราบทูลต่อพระราชาไปตามความสัจจริงว่า “บุตรชายของข้าพระเจ้าเกิดเมื่อคืนนี้ เขาเกิดในฤกษ์มหาโจรและเป็นโจรที่ใครๆก็ปราบไม่ได้ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พระแสงของพระองค์ลุกเป็นไฟขึ้นมา เพื่อเป็นการกำจัดเภทภัยเสียแต่ต้นข้าพเจ้าเห็นสมควรให้พระองค์ทรงมีพระบัญชาประหารบุตรชายของข้าพเจ้าเสียเถิดพระเจ้าข้า...”

พระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นพระราชาผู้ทรงทศพิธราชธรรมมีจิตใจหนักแน่นในเมตตายุติธรรมจึงทรงถามปุโรหิตว่า “บุตรชายของท่านเวลานี้มันเป็นโจรแล้วหรือยัง”

“ขณะนี้บุตรชายข้าพระเจ้าเป็นเพียงทารกน้อยยังไม่ใช่เป็นโจร แต่ถ้าหากเขาเติบโตขึ้นมาเมื่อใด เขาจะต้องเป็นโจรแน่ๆและไม่มีใครปราบได้พระเจ้าข้า...”

“เมื่อบุตรชายท่านเป็นโจรเขาจะมีสมัครพรรคพวกบริวารมากหรือไม่ หรือเป็นโจรคนเดียว”

“เป็นโจรคนเดียวพระเจ้าข้า...”

พระเจ้าปเสนทิโกศลครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตรัสว่า “เมื่อเขาเป็นโจรเพียงคนเดียวไม่มีพวกบริวาร เรามีทหารเป็นกองทัพทำไมจะปราบโจรคนเดียวไม่ได้ บุตรชายของท่านขอให้เลี้ยงดูเขาต่อไป หากเขาเติบโตขึ้นมาและเป็นโจรร้ายเราจะปราบเขาเอง”

ท่านปุโรหิตและภริยาเลี้ยงดูบุตรน้อยจนถึงวาระต้องตั้งชื่อท่านปุโรหิตจึงให้ชื่อเป็นการล้างอาถรรพณ์ชาติกำเนิดว่า อหิงสกะกุมาร แปลว่า “กุมารผู้ไม่เบียดเบียน”

อหิงสกะกุมารเติบโตเจริญวัยขึ้นมาเป็นที่รักของบิดา มารดาและทุกคนที่รู้จัก เพราะกุมารน้อยเป็นผู้สุภาพอ่อนโยน ฉลาดเฉลียว น่ารักน่าเอ็นดู ครั้นเติบใหญ่ขึ้นมาอายุเกิน ๑๐ ขวบ ท่านปุโรหิตก็ได้นำอหิงสกะกุมารเข้าเฝ้าพระเจ้าปเสนทิโกศลทุกครั้งที่ตนเข้าเฝ้าเพื่อปฎิบัติราชกิจ โดยต้องการให้บุตรชายถวายความจงรักภักดีและเรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีของข้าราชบริพาร

อหิงสกะกุมารปฏิบัติตนนอบน้อมเรียบร้อยตามราชประเพณีไม่บกพร่อง อีกทั้งยังแสดงความจงรักภักดีต่อพระราชาอย่างมั่นคงและเปิดเผยทำให้พระเจ้าปเสนทิโกศลพอพระทัยในตัวอหิงสกะกุมารอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันก็ยากจะเชื่อว่าปุโรหิตได้ทำนายเอาไว้เป็นคำร้ายแรงว่าบุตรชายคนนี้จะเป็นโจรร้ายใจฉกาจไม่มีใครปราบปรามได้เพราะเท่าที่เห็นอหิงสกะกุมารหลายสิบครั้งมิได้ส่อแววชั่วร้ายอะไรเลยออกมา ซ้ำยังมีกิริยาอ่อนน้อมนุ่มนวลเพียบพร้อมด้วยจริยาวัตรงดงามน่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง

ดังที่ได้กล่าวถึงเรื่องของ “กรรม” เอาไว้แล้วว่า “กรรม” เป็นเรื่องละเอียดอ่อนซับซ้อนสุดจะประมาณได้ เช่นอหิงสกะกุมารผู้นี้ ในอดีตชาติเป็นเดรัจฉานคือควายป่าผู้มีสันดานมุทะลุดุดัน แต่ชาตินี้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์เป็นบุตรของปุโรหิตผู้มากล้นด้วยทรัพย์สินเงินทองและยศศักดิ์ ตัวของอหิงสกะกุมารเองก็เป็นคนเฉลียวฉลาดเป็นเลิศมีกิริยามารยาทงดงามจนเป็นที่ยกย่องสรรเสริญของคนทั่วไปถึงกับพระราชาเองก็ทรงให้ความเมตตาเอ็นดู

เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะกรรมดีในอดีตชาติใดชาติหนึ่ง (หรือหลายชาติก่อน) มีกำลังแรงกว่ากรรมชั่วจึงได้ส่งผลให้มาเกิดเป็นคนมีสติปัญญาดีและเกิดในตระกูลที่เพียบพร้อมด้วยลาภ, ยศ, สรรเสริญครบถ้วน…

เมื่ออหิงสกะกุมารมีอายุได้ ๑๖ ปี ท่านบิดาคือปุโรหิตก็ได้ส่งไปเล่าเรียนวิชาการอันเป็นสุดยอดของวิชาการทั้งหลายที่เมืองตักศิลากับพระอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งทรงความรู้สูงสุด อหิงสกะกุมารพากเพียรเล่าเรียนอย่างจริงจังประกอบกับมีปัญญาเฉลียวลาดยิ่งกว่าผู้ใด วิชาการทั้งหลายที่พระอาจารย์ถ่ายทอดให้จึงเรียนสำเร็จอย่างรวดเร็ว กล่าวคือบรรดากุลบุตรหลายคนจากเมืองต่างๆที่เดินทางมาเป็นศิษย์เพื่อศึกษาเล่าเรียนกับพระอาจารย์พร้อมกับอหิงสกะกุมารจะต้องใช้เวลาถึง ๔ ปีจึงจะเล่าเรียนได้สำเร็จ แต่อหิงสกะใช้เวลาเพียง ๒ ปีก็เรียนจบครบถ้วน อีกทั้งยังสำเร็จทุกวิชาอย่างเป็นเลิศ พระอาจารย์จึงรักใคร่และภาคภูมิในตัวศิษย์คนนี้ยิ่งนักมีความไว้วางใจถึงกับให้สอนศิษย์ร่วมสำนักแทนตนอยู่เนืองๆ

บรรดาศิษย์ทั้งหลายรุ่นเดียวกันเห็นอหิงสกะกุมารมีความรู้ความสามารถล้ำหน้าไปกว่าพวกตนมากมายหลายเท่านักต่างก็เกิดความอิจฉาริษยาไม่ปรารถนาให้อหิงสกะได้ดีกว่าตนจึงแอบตกลงกันใส่ความใส่ไฟป้ายความผิดแก่อหิงสกะกุมาร โดยเวียนกันไปบอกแก่พระอาจารย์ว่าอหิงสกะกุมารมีจิตกำเริบ มักใหญ่ใฝ่สูง ถือว่าตัวเองมีความเก่งกล้าสามารถเทียบเท่าพระอาจารย์คิดจะตั้งตนเป็นเจ้าสำนักเสียเอง และกำลังหาทางสังหารอาจารย์อยู่เพื่อที่ว่าตนเองจะได้เป็นใหญ่แต่ผู้เดียว

ตอนแรกพระอาจารย์ก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่บรรดาลูกศิษย์วนเวียนกันเข้าไปเป่าหูใส่ร้ายอหิงสกะกุมารไม่ขาดระยะ ความหนักแน่นมีเหตุมีผลจึงสั่นคลอนอารมณ์ริษยาไม่อยากให้ใครได้ดีกว่าตนพลอยกำเริบตามคำยุยงของพวกศิษย์ขี้อิจฉาพระอาจารย์ก็คิดกำจัดอหิงสกะกุมารให้ตายไป แต่จะสังหารอหิงสกะอย่างเปิดเผยก็กลัวจะถูกครหาเป็นที่เสื่อมเสียเกียรติคุณว่าเป็นอาจารย์สังหารลูกศิษย์จึงทำอุบายเรียกอหิงสกะกุมารมาพบแล้วบอกว่า “ข้ามีมนต์บทหนึ่งชื่อว่า “วิษณุมนต์” ถ้าเรียนสำเร็จจะมีฤทธิ์ปราบได้ทั้งไตรภพ คือมนุษย์ เทวดา พรหม ไม่มีใครสู้ได้ลูกศิษย์ทั้งหลายนอกจากเจ้าไม่มีผู้ใดเหมาะสมจะเรียนมนต์บทนี้นอกจากเจ้า เจ้าต้องการเรียนหรือไม่”

อหิงสกะกุมารได้ยินพระอาจารย์บอกกล่าวเช่นนี้มีหรือจะไม่อยากเรียนได้ถามว่าหากตนปรารถนาจะเรียนมนต์ “วิษณุมนต์” จะต้องทำอะไรบ้าง พระอาจารย์ผู้ซ่อนเล่ห์ตอบว่า “ผู้ที่จะเรียนมนตรานี้สำเร็จต้องฆ่าคนบูชาครูให้ครบ ๑,๐๐๐ คนก่อน ข้าจึงจะถ่ายทอดมนต์วิเศษนี้ให้”

การที่อาจารย์บอกให้อหิงสกะกุมารไปไล่ล่าล้างผลาญชีวิตผู้คนจำนวนมากเช่นนี้ เพราะต้องการยืมมือผู้อื่นฆ่าอหิงสกะกุมารแทนตน โดยเฉพาะเมื่ออหิงสกะกลายเป็นฆาตกรโหดสร้างความเดือดร้อนแก่อาณาประชาราษฎร์พระราชาคือพระเจ้าปเสนทิโกศลย่อมมีพระบัญชาให้กองทัพทำการจับตัวอหิงสกะกุมารไปประหารอย่างแน่นอน

คราวนี้… อกุศลกรรมคือกรรมเลวกำลังรอจังหวะอยู่ก็สนองแก่อหิงสกะกุมารทันที เนื่องจากกุศลกรรมอ่อนกำลังลงทำให้อหิงสกะกุมารเชื่อฟังคำของพระอาจารย์ไม่ผิดกับคนไร้สติปัญญา ลืมความผิดชอบชั่วดีจนหมดสิ้น มืดบอดไปกับคำบอกกล่าวซึ่งแฝงเจนาร้ายนั้น

และ… นับตั้งแต่วันนั้นอหิงสกะกุมารก็ออกจากสำนักของอาจารย์ตระเวนไปเพียงคนเดียวเพื่อดักฆ่าคนตามคำอาจารย์ มีคนชะตาขาดถูกอหิงสกะกุมารฆ่าตายคนแล้วคนเล่า ข่าวโจรเดี่ยวที่คอยดักฆ่าคนแพร่กระจายออกไปสร้างความหวาดหวั่นพรั่นพรึงแก่ชาวบ้านชาวเมืองทั่วทุกเขตคาม

พระเจ้าปเสนทิโกศลได้รับถวายรายงานเรื่องโจรเดี่ยวคอยดักฆ่าคนจึงทรงบัญชาการให้กองทหารออกตามล่า แต่อหิงสกะกุมารนั้นมีความเฉลียวฉลาดนักสามารถหลบเร้นกองทหารที่กระจายกันควานหาตนได้ทุกครั้ง อหิงสกะกุมารผู้กลายเป็นฆาตกรโหดดำรงตนอยู่อย่างลำบาก เพราะต้องนอนกลางดินกินกลางทราย ต้องหลบซ่อนแฝงกายในป่าดง หรือหลบเร้นจากกองทหารของพระราชาที่ตระเวนตามล่าทั้งวันทั้งคืนรูปโฉมอันหมดจดสง่างามก็แปรเปลี่ยนไปเนื่องจากคราบไคลฝุ่นละอองชโลมไปทั่วร่าง ผมเผ้าและหนวดเครารกรุงรัง ตลอดจนอาภรณ์ที่นุ่งห่มก็เก่าขาดเหลืออยู่เพียงแค่พันกายมิให้อุจาดตาเท่านั้น

การดักฆ่าคนกลายเป็นภาระที่อหิงสกะกุมารจำเป็นต้องกระทำ แต่นับวันก็ยิ่งหาคนมาเซ่นสังเวยคมดาบตนยากเข้าทุกทีทั้งนี้ก็เพราะชาวบ้านในเขตคามต่างๆไม่ยอมออกเดินทางไปมาเนื่องจากหวาดกลัวโจรเดี่ยวหฤโหดที่คอยดักสังหาร อีกประการหนึ่งทหารหลวงก็ออกตระเวนล่าตัวขวักไขว่ทำให้อหิงสกะกุมารต้องคอยหลบๆซ่อนๆ

อันที่จริงอหิงสกะกุมารเข่นฆ่าผู้คนมามากมายทีเดียว ตอนแรกๆก็จดจำนวนคนที่ตนฆ่าได้ แต่เวลาผ่านไปประกอบกับจิตใจว้าวุ่นวิปริตด้วยบาปมหันต์ ซึ่งกระทำซ้ำแล้วซ้ำอีกจึงทำให้หลงลืมจำนวนคนที่ถูกฆ่า เหตุนี้อหิงสกะกุมารจึงเริ่มต้นใช้นิ้วของผู้ตายร้อยเป็นพวงมาลัยคล้องคอเอาไว้ฆ่าคนๆหนึ่งก็ตัดนิ้วออกมานิ้วหนึ่งแล้วร้อยเพิ่มเข้าไปในพวงคล้องคอ

กิตติศัพท์การกระทำเช่นนี้ ชาวบ้านชาวเมืองจึงเรียกขานเขาว่า “องคุลีมาล” หรือ “โจรผู้ฆ่าเอานิ้วมือ”

วิถีทางแห่งอกุศลกรรม ซึ่งอหิงสกะกุมารผู้กลายเป็นองคุลีมาลกำลังกระทำอยู่ คือผลแห่งกรรมในอดีตชาติ ผู้ที่ถูกองคุลีมาลฆ่าตายแต่ละคนแท้ที่จริงก็คือผู้ซึ่งรุมกันฆ่าควายป่าจอมมหิงษาตัวนั้นรวมทั้งผู้ที่สนับสนุน ร่วมวางแผนและมีความยินดีในการฆ่าควายป่าก็ได้มาร่วมรับชะตากรรมพร้อมๆกันด้วย

องคุลีมาลตระเวนฆ่าคนตัดนิ้วมาได้ ๙๙๙ คนแล้วยังขาดอีก ๑ คนเท่านั้นก็จะครบเต็มจำนวน แต่หาคนเป็นเหยื่อคมดาบคนสุดท้ายไม่ได้เลย จึงได้เดินทางเข้ามาจนใกล้เขตเมืองพาราณสี แม้จะแอบซ่อนเดินทางมาอย่างไรก็ยังมีผู้พบเห็นจนได้ข่าวคราวของ “องคุลีมาล” บุกเข้ามาสู่มหานครแพร่ออกไปเหมือนไฟลามทุ่ง และข่าวนี้ก็ล่วงรู้ไปถึงมารดาขององคุลีมาล

มารดาขององคุลีมาลเป็นห่วงใยลูกรักซึ่งได้กลายเป็นมหาโจรหฤโหดผู้สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้แก่ปวงชน ได้ทราบข่าวองคุลีมาลเดินทางมาอยู่ไม่ไกลนักวิสัยของแม่ผู้รักลูกปานดวงใจจึงปิติดีใจสุดพรรณนาคิดจะออกไปพบลูกชายในเช้าวันรุ่งขึ้น เพราะอยากพบเห็นลูกรักด้วยมิรู้ว่ามีความสุขหรือทุกข์ประการใด พร้อมกับตั้งใจจะอ้อนวอนขอร้องให้ลูกเลิกละประพฤติชั่วถึงขึ้นเข่นฆ่าผู้คนเสีย โดยหารู้ไม่ว่ากระแสกรรมซึ่งผูกพันกันมาตั้งแต่อดีตชาติกำลังจะส่งผลให้ปรากฏในไม่ช้านี้แล้ว เพราะมารดาขององคุลีมาลก็คือชาวบ้านคนหนึ่งในบรรดาผู้มีจิตเจตนาเข่นฆ่าควายป่าจอมมหิงษาจนตายไป และควายป่าได้ตั้งจิตอาฆาตจองเวรไม่ยอมอโหสิ

เช้ามืดวันรุ่งขึ้น… องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรวจดูอุปนิสัยของสัตว์โลกทั้งหลายว่ามีใครสมควรที่พระองค์จะไปทรงโปรดได้บ้าง พระบรมศาสดาก็ทรงทราบว่าองคุลีมาลผู้นี้มรรคผลจะเกิดแก่เธอแต่ถ้าให้องคุลีมาลพบกับมารดาซึ่งจะไปหาลูกชายเสียก่อน บาปอันมหันต์ก็จะเกิดแก่องคุลีมาล เพราะองคุลีมาลตั้งใจแน่วแน่ว่า ในตอนเช้าวันนี้หากพบปะใครเป็นคนแรกก็จะฆ่าทันทีเพื่อจะตัดนิ้วให้ครบ ๑,๐๐๐ นิ้ว องคุลีมาลจะต้องพบกับมารดาเป็นคนแรกแน่ๆ และเขาก็จะฆ่ามารดาตามที่ตั้งใจไว้ การฆ่าแม่ผู้ให้กำเนิดเป็นอนันตริยกรรม แม้จะมีบุญมหาศาลอย่างไร บุญนั้นจะยังให้ผลไม่ได้ต้องไปรับกรรมในอเวจีมหานรกก่อน

ด้วยพระกรุณาธิคุณ พระพุทธองค์จึงตัดสินพระทัยไปโปรดองคุลีมาลก่อนที่เขาจะสร้างกรรมตามที่จองเวรไว้ พระพุทธองค์เสด็จผ่านไปยังที่องคุลีมาลซ่อนกายอยู่ เมื่อองคุลีมาลเห็นพระสมณโคดมก็ออกจากที่ซุ่มซ่อนวิ่งไล่หมายจะฆ่าเอานิ้วที่ ๑,๐๐๐ ซึ่งเป็นนิ้วสุดท้าย พระบรมศาสดาได้แสดงฤทธิ์โดยพระองค์ดำเนินไปตามปกติ ส่วนองคุลีมาลวิ่งไล่กวดสุดฝีเท้า แต่วิ่งจนเหนื่อยหอบอย่างไรก็ไม่ทันพระองค์ องคุลีมาลจึงตะโกนไปว่า“สมณะหยุดก่อน”

พระจอมไตรตอบว่า“เราหยุดแล้ว”

พระพุทธองค์ทรงดำเนินไปเรื่อยๆองคุลีมาลวิ่งไล่อย่างไรก็ไม่ทันเช่นเคย จึงฉุนโกรธยิ่งนักตะโกนกล่าวไปอีกว่า“สมณะ! ทำไมจึงพูดมุสาวาท ท่านเดินอยู่ แต่บอกว่าหยุดแล้ว”

พระพุทธเจ้าจึงหันมาดำรัสว่า“องคุลีมาล ตถาคตหยุดจากบาปธรรม กรรมอันลามกแล้ว เธอยังไม่หยุดอีกหรือ…”

ด้วยพระพุทธดำรัสเพียงเท่านี้องคุลีมาลก็ฉุกคิดได้กุศลกรรมได้เข้ามาสนองใจ ใจก็เกิดมีกำลังเพราะปีติได้สติคิดว่า โอ้… นี่เราทำความชั่วเสียแล้วหรือ จึงวางดาบถอดพวงร้อยนิ้วออกแล้ววิ่งเข้าไปหมอบกราบแทบพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า ขณะนั้นมารดาขององคุลีมาลมาถึงพอดี พระพุทธองค์จึงทรงให้โอวาทในที่สุดองคุลีมาลก็ขออุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาและได้บรรลุเป็นพระอรหันต์…

นี่คือพระอรหันต์อีกองค์หนึ่งสมัยพุทธกาลที่ยืนยันถึงกฎแห่งกรรมตราบใดที่ไม่อาจข้ามพ้นห้วงแห่งโอฆะได้ การเวียนว่ายตายเกิดก็ย่อมดำเนินต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด


http://www.amulet.in.th/forums/view_topic.php?t=1581

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น