วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

ประจักษ์แจ้งผลแห่งกรรม

  เรื่องกฎแห่งกรรมตามสนองนั้นเป็นเรื่องจริง อดีตคนเราสร้างเหตุใดไว้ ปัจจุบันย่อมได้รับผลอย่างแน่นอน
     อริยะปราชญ์กลัวสร้างเหตุ มนุษย์กลัวรับผล พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” เป็นความจริงที่สุด เพียงแต่ว่าผลนั้นจะตามมาตอบสนองช้าหรือเร็วเท่านั้นหนังสือ “ประจักษ์แจ้งผลแห่งกรรม” เล่มนี้ จะเป็นอุทาหรณ์สอนใจสำหรับผู้ที่กำลังจะสร้างเหตุแห่งกรรมได้ไม่มากก็น้อยและในอนาคตทุกคนจะมุ่งมั่นปฏิบัติแต่ความดีเท่านั้น
ขออนุโมทนา

     ชีวิตมนุษย์ทุกคนล้วนต่างมีกรรมเป็นของตนเอง มาแต่อดีตชาติ หากยังไม่มีผลตอบสนองเกิดขึ้นในปัจจุบัน ยากจะรู้ได้ว่าตน ได้สร้างเหตุแห่งกรรมใดเอาไว้ แต่เมื่อทุกท่านได้อ่านคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ตรัสเอาไว้ จึงจะทราบถึงต้นเหตุผลกรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่งนักเพราะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น เมื่อมีผลตอบสนองเกิดขึ้น บางครั้งก็ช่วยแทบไม่ทัน “ ติดหนี้เงินทองก็ต้องชดใช้ด้วยเงินทองติดหนี้ชีวิตก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต ” กฏของฟ้าดินนั้นยุติธรรมทุกคนมิอาจหลบหลีกได้ เช่นเดียวกับ คุณอัจฉรา ทินแก้ว( คุณก้อย ) ที่ไม่สบายด้วยโรคมะเร็งในลำไส้ ยากรักษาให้หายได้ นั่นคือโรคเจ้ากรรมนายเวรทวงหนี้นั่นเอง


     หลังจากเรียนจบมัธยมปลาย ก็ได้เดินทางมาศึกษาต่อ ในกรุงเทพ ฯ ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง
จนกระทั่งปี พ.ศ. 2537 คุณจินตนา ทินแก้ว และคุณจงกล ทินแก้ว ซึ่งเป็นพี่สาวก็ได้ชักชวน มารับวิถีธรรมหลังจากรับธรรมแล้ว มิได้มีความศรัทธาแต่อย่างใด ยังมีจิตคลางแคลงสงสัย และไม่พอใจพี่สาวทั้งสอง ที่ปฏิบัติบำเพ็ญช่วยเหลืองานธรรมะอยู่ที่จังหวัดระนอง โดยเฉพาะกับพี่สาวคนรองคือ คุณจินตนา ทินแก้ว ซึ่งปัจจุบันเป็นอาจารย์ชี้แนะรับผิดชอบอยู่ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
     คุณอัจฉรา คิดอยู่เสมอว่าธรรมะ ได้ทำให้พี่สาวไม่รักไม่สนใจเขา และเขาต้องอยู่ในกรุงเทพอย่างเดียวดายมาตลอดจึงมีอคติต่อธรรมะพอสมควร พี่สาวทั้งสองก็พยายามชี้แจงถึงเหตุผลต่างๆ ให้เข้าใจถึงภาวะความเป็นจริง ของครอบครัว มิได้เป็นเพราะธรรมะเลย และได้อธิบายถึงความสูงส่งล้ำค่าของธรรมะตลอดมา แต่ก็ยังปิดกั้นจิตตนเองไม่ยอมรับฟังและไม่ศรัทธาเชื่อถือต่อธรรมะเลย
     ไม่นานต่อมาคุณอัจฉรา ก็ได้ป่วยเป็นลำไส้อักเสบและเจ็บออดๆ แอดๆ มาตลอด
      จนกระทั่งปลายปี 2544 ก็เริ่มมีอาการเจ็บมากขึ้นจนไม่สามารถไปทำงานตามปกติได้ อาการป่วยจึงหนักขึ้นเรื่อยๆเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆ คุณหมอก็ได้ตรวจพบว่า คุณอัจฉราได้เป็นเนื้องอกในลำไส้ใหญ่ เมื่อทานอาหารลงไปก็จะเก็บซับไว้ไม่อยู่ จะขับถ่ายออกมาหมด ต้องเข้าออกโรงพยาบาลต้องให้น้ำเกลือตลอดเรื่อยมาระยะหลังอ่อนเพลียมีอาการหนักกว่าทุกครั้ง คุณจินตนาพี่สาวก็ได้มาเฝ้าที่โรงพยาบาลเมื่อมีคนที่ปฏิบัติงานธรรมไปเยี่ยมก็จะแสดงอาการไม่ค่อยพอใจไม่ทักทายหรือพูดคุยด้วย พี่สาวก็จะขอโทษกับทุกคน ที่น้องสาวแสดงกิริยาไม่สุภาพ แล้วพยายามช่วยให้น้องสาวเข้าใจในธรรมะ จนเริ่มมีอาการดีขึ้นคุณจินตนาจึงพาไปเข้าร่วมประชุมธรรมมหาชาติ ที่สถานธรรมกวงหมิงจังหวัดระนอง ทำให้เริ่มเข้าใจต่อธรรมะบ้าง หลังประชุมหนึ่งอาทิตย์คุณจินตนาก็พากลับเข้ากรุงเทพฯ มาช่วยงานประชุมธรรมชั้นพุทธาภิเษกที่กรุงเทพอีกครั้ง
     วันที่ 2 ของการประชุมธรรม พระอาจารย์จี้กงก็เสด็จมาเมตตา ได้ตรัสว่า หากสามารถมอบชีวิตให้ฟ้า ฟ้าก็จะไม่ดูดาย ตั้งแต่นั้นมาอาวุโสก็เมตตาให้เข้ามาช่วยงานในร้านหนังสือกระวี อาการป่วยก็เริ่มดีขึ้น แต่เนื่องด้วยโรคที่เป็นอยู่และใจที่ยังปล่อยวางไม่ได้ จึงทำงานด้วยความตึงเครียดและยังกล่าวโทษตำหนิ มีผิดบาปทางวาจาโดยไม่รู้ตัว จนเมื่อถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2546 ที่ผ่านมา ลำไส้เริ่มมีอาการอักเสบขึ้นมาอีก แพทย์จึงได้ตัดเนื้องอกที่ลำไส้ไปตรวจจึงรู้ว่าเป็นมะเร็งในลำไส้ นับจากนั้นคุณหมอก็นัดไปตรวจทุกเดือน แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น
     วันที่ 28 เดีอน พฤษภาคม พ.ศ. 2546 คุณอัจฉรากลับจากโรงพยาบาล อาจารย์อาวุโสได้มอบหมายให้อาจารย์หลินเหมยเหม่ย ( คุณจินตนา ) ทำพิธีถวายใบฎีกาตั้งปณิธานอุทิศตนเพื่อธรรมให้คุณอัจฉราในเวลา 8.30น.ที่สถานธรรมเต๋ออิน
     แต่เมื่อถึงเวลาประมาณ 18.25 น. ขณะที่สามคุณกำลังพักผ่อนและทำธุระส่วนตัวอยู่ชั้นบนนั้น ก็เกิดอาการผิดปกติขึ้นมาคืออยู่ๆ มือทั้งสองข้างมีอาการเกร็งและงอเหมือนจะกำเข้ามาเรื่อยๆ แล้วมีความรู้สึกเหมือนมดไต่จากมือขึ้นมา จึงรีบเข้าไปพักผ่อนในห้อง(โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าคุณอัจฉรากลับมาแล้ว)
      ซึ่งตอนนั้นบุคลากรทั้งหลาย กำลังรับประทานอาหารอยู่ชั้นล่าง ทันใดก็ได้ยินเสียงดัง ปัง! ปัง! ปัง! ทุกคนคิดว่าคงมีคนทำของตกพื้นเลยไม่สนใจ นั่งรับประทานอาหารกันต่ออีก 5 นาที ก็ได้ยินเสียงเรียกมาจากห้องพระ บุคลากรท่านหนึ่งเอะใจจึงได้วิ่งขึ้นไปดูบนห้องพระ ก็ต้องตกใจมากเพราะสิ่งที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าคือ สิ่งศักดิ์สิทธิได้ยืมร่างสามคุณยืนอยู่ แล้วเรียกคุณจินตนาและคุณอัจฉรา เข้ามาสู่ห้องพระพร้อมกล่าวว่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น