วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

ประกาสิตแห่งบาป ๑๐ ประการ

การกระทำทางกาย วาจา ใจ ที่เป็นบาปเป็นกรรม
ที่ผิดศีล ผิดธรรม ที่ผิดต่อหลักบุญ หลักกุศล
ที่ผิดต่อผู้มีศีล มีธรรม ที่ผิดต่อผู้มีพระคุณ
หรือการใส่ร้ายป้ายสีต่อผู้ที่ไม่มีความผิดนั้น

.
ผลให้บาปกรรมย่อมตามติด ติดตามเพื่อลงโทษทั้งทางตรงและทางอ้อม
กับบุคคลเหล่านั้น ตามโอกาสที่เหมาะสม ทั้งชาตินี้ และชาติหน้า
ในขอบเขตสิบประการ ไม่ข้อใดก็ข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้ 

.
.
๑.เวทะนัง ผะรุสัง ชานิง

ต้องประสบกับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานทั้งทางกายทางใจ
มีชีวิตเหมือนคนที่ตายแล้วทั้งเป็น
.
.

๒.สะรีรัสสะ วะ เภทะนัง 
ต้องประสบกับปัญหาเรื่องของสุขภาพเสื่อมเสีย  มีร่างกายแตกหัก
ต้องถูกตัด ต้องถูกผ่า ต้องถูกเจาะอยู่บ่อยๆ
.
.

๓.คะรุกัง วาปิ อาพาธัง 
ต้องประสบกับโรคร้ายเรื้องรัง ความเจ็บป่วย ที่รักษาไม่หายขาดสักที
เป็นโรคที่นอนรอต่อความตาย โรคที่ต้องใช้เงินรักษามาก โรคที่ทรมาน
.
.

๔. จิตตักเขปัง วะ ปาปุเณ 
ต้องประสบกับความเดือดเนื้อร้อนใจ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ
มีความฟุ้งซ่านรำคาญใจทุกคืนวัน เป็นโรคจิต โรคประสาท
.
.

๕. ราชะโต วา  อุปสัคคัง 
ต้องประสบกับโทษทัณฑ์ติดคุกติดตะราง ขึ้นโรงขึ้นศาล ต้องคดีความ


๖. อัพภักขานัง วะ ทารุณัง 
ต้องประสบกับการถูกนินทาใส่ร้ายป้ายสี ถูกดูหมิ่น ดูแคลน ถูกทารุณอย่างหนัก
.
.

๗.ปริกขะยัง วะ ญาตีนัง 
ต้องประสบกับความไร้ญาติขาดมิตร และบริวาร คนเข้าใจ คนสนับสนุน
ครอบครัวแตกแยก ครอบครัวไม่มีความสุข มีปัญหาชีวิตรัก
.
๘.โภคานัง วะ ปะภังคุณัง

ต้องประสบกับความฉิบหายสูญเสียแห่งทรัพย์สินเงินทอง
ลำบากยากจน ขัดสน มีหนี้มีสิน รวยเร็ว จนเร็ว ไม่มีฐานะที่มั่นคง
.

๙. อะถะ วาสสะ อะคารานิ อัคคิ ฑะหะติ ปาวะโก 
ต้องประสบกับอุปสรรคอันตรายจากภัยธรรมชาติ ไฟใหม้ น้ำท่วม   
ที่โหดร้ายนานาประการ
.
.

๑๐.กายัสสะ เภทา ทุปปัญโญ นิระยัง โส อุปปัชชะติ 
มีชีวิตที่คล้ายกับสัตว์เดรัจฉาน คล้ายกับสัตว์นรก มีประพฤติกรรมที่น่าเกลียดน่ากลัวหลังจากที่ตายไปแล้ว ต้องประสบกับความทุกข์ในภูมินรก
เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย
คนพิกลพิการ บ้าใบ้ บวดหนวก ในตระกูลที่ไม่ดี ฯ
.
พระสุตตันตปิฏก ขุททกนิกาย ธรรมบท: ๒๕/๑๓๘/๔๑

ประจักษ์แจ้งผลแห่งกรรม

  เรื่องกฎแห่งกรรมตามสนองนั้นเป็นเรื่องจริง อดีตคนเราสร้างเหตุใดไว้ ปัจจุบันย่อมได้รับผลอย่างแน่นอน
     อริยะปราชญ์กลัวสร้างเหตุ มนุษย์กลัวรับผล พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” เป็นความจริงที่สุด เพียงแต่ว่าผลนั้นจะตามมาตอบสนองช้าหรือเร็วเท่านั้นหนังสือ “ประจักษ์แจ้งผลแห่งกรรม” เล่มนี้ จะเป็นอุทาหรณ์สอนใจสำหรับผู้ที่กำลังจะสร้างเหตุแห่งกรรมได้ไม่มากก็น้อยและในอนาคตทุกคนจะมุ่งมั่นปฏิบัติแต่ความดีเท่านั้น
ขออนุโมทนา

     ชีวิตมนุษย์ทุกคนล้วนต่างมีกรรมเป็นของตนเอง มาแต่อดีตชาติ หากยังไม่มีผลตอบสนองเกิดขึ้นในปัจจุบัน ยากจะรู้ได้ว่าตน ได้สร้างเหตุแห่งกรรมใดเอาไว้ แต่เมื่อทุกท่านได้อ่านคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ตรัสเอาไว้ จึงจะทราบถึงต้นเหตุผลกรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่งนักเพราะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น เมื่อมีผลตอบสนองเกิดขึ้น บางครั้งก็ช่วยแทบไม่ทัน “ ติดหนี้เงินทองก็ต้องชดใช้ด้วยเงินทองติดหนี้ชีวิตก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต ” กฏของฟ้าดินนั้นยุติธรรมทุกคนมิอาจหลบหลีกได้ เช่นเดียวกับ คุณอัจฉรา ทินแก้ว( คุณก้อย ) ที่ไม่สบายด้วยโรคมะเร็งในลำไส้ ยากรักษาให้หายได้ นั่นคือโรคเจ้ากรรมนายเวรทวงหนี้นั่นเอง


     หลังจากเรียนจบมัธยมปลาย ก็ได้เดินทางมาศึกษาต่อ ในกรุงเทพ ฯ ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง
จนกระทั่งปี พ.ศ. 2537 คุณจินตนา ทินแก้ว และคุณจงกล ทินแก้ว ซึ่งเป็นพี่สาวก็ได้ชักชวน มารับวิถีธรรมหลังจากรับธรรมแล้ว มิได้มีความศรัทธาแต่อย่างใด ยังมีจิตคลางแคลงสงสัย และไม่พอใจพี่สาวทั้งสอง ที่ปฏิบัติบำเพ็ญช่วยเหลืองานธรรมะอยู่ที่จังหวัดระนอง โดยเฉพาะกับพี่สาวคนรองคือ คุณจินตนา ทินแก้ว ซึ่งปัจจุบันเป็นอาจารย์ชี้แนะรับผิดชอบอยู่ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
     คุณอัจฉรา คิดอยู่เสมอว่าธรรมะ ได้ทำให้พี่สาวไม่รักไม่สนใจเขา และเขาต้องอยู่ในกรุงเทพอย่างเดียวดายมาตลอดจึงมีอคติต่อธรรมะพอสมควร พี่สาวทั้งสองก็พยายามชี้แจงถึงเหตุผลต่างๆ ให้เข้าใจถึงภาวะความเป็นจริง ของครอบครัว มิได้เป็นเพราะธรรมะเลย และได้อธิบายถึงความสูงส่งล้ำค่าของธรรมะตลอดมา แต่ก็ยังปิดกั้นจิตตนเองไม่ยอมรับฟังและไม่ศรัทธาเชื่อถือต่อธรรมะเลย
     ไม่นานต่อมาคุณอัจฉรา ก็ได้ป่วยเป็นลำไส้อักเสบและเจ็บออดๆ แอดๆ มาตลอด
      จนกระทั่งปลายปี 2544 ก็เริ่มมีอาการเจ็บมากขึ้นจนไม่สามารถไปทำงานตามปกติได้ อาการป่วยจึงหนักขึ้นเรื่อยๆเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆ คุณหมอก็ได้ตรวจพบว่า คุณอัจฉราได้เป็นเนื้องอกในลำไส้ใหญ่ เมื่อทานอาหารลงไปก็จะเก็บซับไว้ไม่อยู่ จะขับถ่ายออกมาหมด ต้องเข้าออกโรงพยาบาลต้องให้น้ำเกลือตลอดเรื่อยมาระยะหลังอ่อนเพลียมีอาการหนักกว่าทุกครั้ง คุณจินตนาพี่สาวก็ได้มาเฝ้าที่โรงพยาบาลเมื่อมีคนที่ปฏิบัติงานธรรมไปเยี่ยมก็จะแสดงอาการไม่ค่อยพอใจไม่ทักทายหรือพูดคุยด้วย พี่สาวก็จะขอโทษกับทุกคน ที่น้องสาวแสดงกิริยาไม่สุภาพ แล้วพยายามช่วยให้น้องสาวเข้าใจในธรรมะ จนเริ่มมีอาการดีขึ้นคุณจินตนาจึงพาไปเข้าร่วมประชุมธรรมมหาชาติ ที่สถานธรรมกวงหมิงจังหวัดระนอง ทำให้เริ่มเข้าใจต่อธรรมะบ้าง หลังประชุมหนึ่งอาทิตย์คุณจินตนาก็พากลับเข้ากรุงเทพฯ มาช่วยงานประชุมธรรมชั้นพุทธาภิเษกที่กรุงเทพอีกครั้ง
     วันที่ 2 ของการประชุมธรรม พระอาจารย์จี้กงก็เสด็จมาเมตตา ได้ตรัสว่า หากสามารถมอบชีวิตให้ฟ้า ฟ้าก็จะไม่ดูดาย ตั้งแต่นั้นมาอาวุโสก็เมตตาให้เข้ามาช่วยงานในร้านหนังสือกระวี อาการป่วยก็เริ่มดีขึ้น แต่เนื่องด้วยโรคที่เป็นอยู่และใจที่ยังปล่อยวางไม่ได้ จึงทำงานด้วยความตึงเครียดและยังกล่าวโทษตำหนิ มีผิดบาปทางวาจาโดยไม่รู้ตัว จนเมื่อถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2546 ที่ผ่านมา ลำไส้เริ่มมีอาการอักเสบขึ้นมาอีก แพทย์จึงได้ตัดเนื้องอกที่ลำไส้ไปตรวจจึงรู้ว่าเป็นมะเร็งในลำไส้ นับจากนั้นคุณหมอก็นัดไปตรวจทุกเดือน แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น
     วันที่ 28 เดีอน พฤษภาคม พ.ศ. 2546 คุณอัจฉรากลับจากโรงพยาบาล อาจารย์อาวุโสได้มอบหมายให้อาจารย์หลินเหมยเหม่ย ( คุณจินตนา ) ทำพิธีถวายใบฎีกาตั้งปณิธานอุทิศตนเพื่อธรรมให้คุณอัจฉราในเวลา 8.30น.ที่สถานธรรมเต๋ออิน
     แต่เมื่อถึงเวลาประมาณ 18.25 น. ขณะที่สามคุณกำลังพักผ่อนและทำธุระส่วนตัวอยู่ชั้นบนนั้น ก็เกิดอาการผิดปกติขึ้นมาคืออยู่ๆ มือทั้งสองข้างมีอาการเกร็งและงอเหมือนจะกำเข้ามาเรื่อยๆ แล้วมีความรู้สึกเหมือนมดไต่จากมือขึ้นมา จึงรีบเข้าไปพักผ่อนในห้อง(โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าคุณอัจฉรากลับมาแล้ว)
      ซึ่งตอนนั้นบุคลากรทั้งหลาย กำลังรับประทานอาหารอยู่ชั้นล่าง ทันใดก็ได้ยินเสียงดัง ปัง! ปัง! ปัง! ทุกคนคิดว่าคงมีคนทำของตกพื้นเลยไม่สนใจ นั่งรับประทานอาหารกันต่ออีก 5 นาที ก็ได้ยินเสียงเรียกมาจากห้องพระ บุคลากรท่านหนึ่งเอะใจจึงได้วิ่งขึ้นไปดูบนห้องพระ ก็ต้องตกใจมากเพราะสิ่งที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าคือ สิ่งศักดิ์สิทธิได้ยืมร่างสามคุณยืนอยู่ แล้วเรียกคุณจินตนาและคุณอัจฉรา เข้ามาสู่ห้องพระพร้อมกล่าวว่า

วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554

"องคุลีมาล" กฏแห่งกรรมสมัยพุทธกาล

ตราบใดที่ยังไม่สามารถกำจัดอาสวกิเลสให้หมดสิ้นหมดจดได้ ตราบใดที่ยังมีกรรมผูกพันร้อยรัดอยู่ด้วยกฎแห่งกรรม ตราบนั้นการเวียนว่ายตายเกิดย่อมจะเวียนวนอยู่ไม่มีที่สิ้นสุด

ในภพชาติหนึ่ง... ด้วยผลแห่งอกุศลกรรมมีพลังเข้มข้นกว่ากุศลกรรม จึงทำให้จิตวิญญาณหนึ่งมาเกิดในครรภ์ของแม่ควายป่า เมื่อเจริญอยู่ในครรภ์ครบถ้วนตามกาลกำหนดได้คลอดออกมาเป็นลูกควายเพศผู้แ้ล้วเติบโตเป็นควายหนุ่มฉกรรจ์กำยำมีพละกำลัง และแกล้วกล้าอาจหาญยิ่งกว่าควายป่าตัวใดได้ถือกำเหนิดมาแต่กาลก่อน

ควายป่าตัวนี้ไม่เกรงกลัวผู้ใดสัตว์ป่าที่ดุร้ายแค่ไหนก็ตามถูกควายป่าตัวนี้กำราบปราบปรามจนพ่ายแพ้กระเจิดกระเจิงไปหมดสิ้น ดังนั้นไม่ว่าควายป่าจอมมหิงษาจะย่างกรายไปที่ใด สัตว์ป่าทั้งหลายจึงหลีกเร้นหลบหนืไม่ยอมขวางหน้าหรืออยู่ใกล้ 
.
.
ด้วยความคะนองลำพองควายป่าตัวนี้จึงออกจากเขตป่ามาอาละวาดประกาศศักดาทำร้าย ช้าง, ม้า, วัว, ควายของชาวบ้านจนบาดเจ็บล้มตายไปมากมาย ทำให้เกิดความเดือดร้อนไปทั่ว และทำให้ชาวบ้านทั้งหลายเกิดความโกรธแค้นจอมมหิงษาตัวนี้เป็นอย่างยิ่ง เหตุนี้ชาวบ้านจึงวางแผนจะกำจัดควายป่าตัวร้ายให้หมดสิ้นไปด้วยกลอุบายอันชาญฉลาด เพราะจะต่อสู้เข่นฆ่ามันซึ่งๆหน้าหาได้ไม่

ชาวบ้านจึงช่วยกันสร้างคอกอย่างแข็งแรงขึ้นคอกหนึ่งแล้ทำทางเข้าเป็นรั้วแข็งแรงขนาบสองข้าง ตรงปากทางเข้าทำเอาไว้กว้างใหญ่แล้วสอบแคบเข้าไปพอครือๆตัวควาย กระทั่งแคบที่สุดจนไม่สามารถลอดผ่านไปได้ พร้อมกันนั้นได้เตรียมไม้ท่อนยาวสำหรับสอดเข้าไปขวางกั้นทั้งด้านหน้าด้านหลังเอาไว้ด้วย จากนั้นก็ได้นำควายหนุ่มๆไปขึงล่อไว้ในคอกกลแห่งนี้

เมื่อควายป่าจอมมหิงษาออกมาจากราวป่าเพื่อหาคู่ประเขาด้วยความคึกลำพองแต่ไม่มี ช้าง, ม้า, วัว, ควายให้เห็นแม้แต่ตัวเดียวจึงย่ำเดินผ่านท้องทุ่งลึกเข้ามา คราวนี้ก็มองเป็นคอกขังควายหนุ่มจอมมหิงษาจึงทะยานเข้าใส่ตามวิสัยคะนอง ทางเข้าเปิดเป็นช่องกว้างเข้าไปควายป่าก็ควบเข้าทางนั้นแล้วก็ไปติดตรงช่องทางซึ่งตีบแคบจนตะลุยบุกเข้าไปไม่ได้

ชาวบ้านทั้งหลายซึ่งซุ่มคอยทีอยู่จึงกรูกันออกมาเอาไม้ท่อนสอดเข้าไปขัดทางด้านหลัง และด้านหน้าควายป่าจะถอยก็ไม่ได้จะผกโผนขึ้นข้างบนหรือเดินหน้าก็ไม่ได้ คราวนี้จึงเป็นโอกาสให้ชาวบ้านจำนวนมากมายใช้ศาสตราอาวุธฟาดฟันทิ่มแทงจอมมหิงษาจนตายคาที่

ก่อนจะสิ้นใจตายควายป่าซึ่งบันดาลโทสะและโกรธแค้นสุดขีดได้อาฆาตพยาบาทจองเวรชาวบ้านทุกคนที่รุมฆ่ามันว่า หากได้เกิดชาติหน้าเมื่อใดขอให้มาเกิดร่วมกัน ชาตินี้พวกเจ้าร่วมกันฆ่าข้า ชาติหน้าข้าคนเดียวจะตามฆ่าพวกเจ้าให้หมดทุกคน

หากมองดูความเป็นจริงในข้อที่ว่าควายป่าจอมมหิงษาตัวนี้สมควรจะให้ชาวบ้านร่วมมือกันกำจัดย่อมเป็นการถูกต้องและเหมาะสมแล้ว เพราะมันคือตัวการที่สร้างความเดือนร้อนแก่ผู้คนก่อน ความคะนองลำพองของมันทำให้สัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงไว้ใช้งาน คือช้าง, ม้า, วัว, ควายของชาวบ้านบาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก เมื่อวัว, ควายบาดเจ็บเจ้าของใช้งานใช้ให้ทำประโยชน์ไม่ได้ก็ย่อมทำให้เขาโกรธแค้นเป็นธรรมดา และสมควรอย่างยิ่งที่ต้องกำจัดหรือฆ่ามันเสียเพื่อหยุดยั้งเภทภัยเพียงเท่านี้

แต่เรื่องของ “กรรม” เป็นเรื่องละเอียดอ่อนซับซ้อนยากยิ่งที่ผู้ใดจะหยั่งรู้ได้ นอกจากพระสัพพัญญูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น เพราะสัตว์โลกซึ่งยังมิอาจข้ามพ้นห้วงแห่งโอฆะได้ย่อมเกิดตายเวียนว่ายอยู่เช่นนี้มิรู้กี่แสนกี่ล้านชาติ และแต่ละอดีตชาตินั้นก็ได้สร้างกรรมทั้งกุศลและอกุศลคละเคล้ากันไป พลังแห่งกรรมในแต่ละภพชาตินั้นๆย่อมส่งให้มาเกิดพร้อมทั้งมีกรรมดีกรรมเลวผูกพันร้อยรัดอยู่อย่างแนบแน่น และต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้นตามแต่กำลังแห่งกรรมใดจะส่งผลก่อนหรือส่งผลทีหลัง

เหตุนี้การถือกำเนิดมาของควายป่าจอมมหิงษาตัวนี้จึงเกิดมาตามผลแห่งกรรมตน พฤติกรรมทั้งหลายก็เ็ป็นไปตามเศษแห่งกรรมที่ติดตัวมา ตราบถูกชาวบ้านรุมล้อมเข่นฆ่าจนสิ้นชีวิตก็คือผลแห่งกรรมอย่างหนึ่ง หากควายป่าไม่มีจิตอาฆาตพยาบาทด้วยโทษจริต “กรรม” ก็ย่อมไม่ผูกพันด้วยการจองเวรกับชาวบ้านที่รุมฆ่าตน แต่เมื่อตายไปพร้อมกับจิตร้อนระอุด้วยไฟโทสะจึงเกิดกรรมผูกพันระหว่างกันสืบต่อไปอีก
ควายป่าจอมมหิงษาตายไปแล้วก็ไปเกิดในชาติใหม่เป็นลูกชายท่านปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศลพระราชาผู้ครองเมืองพาราณสี

ชาวบ้านที่รุมฆ่าควายป่ารวมทั้งผู้ที่ร่วมจิตเจตนาในการฆ่าควายป่านี้ เช่นช่วยกันทำคอก ช่วยกันคิดหาวิธีฆ่า รวมทั้งมีจิตเจตนาอยากฆ่า อยากเห็นควายป่าตาย ครั้นควายป่าตายก็เกิดความปิติปราโมทย์ในการตายนั้นด้วย (เป็นผู้ร่วมอยู่ในอกุศลกรรมเดียวกัน) ต่างก็ไปเกิดเ็ป็นคนอยู่ในเขตเมืองพาราณสีและในเมืองใกล้เคียงทั้งหมด

เหตุการณ์สำคัญตอนที่บุตรชายท่านปุโรหิตคลอดออกมาจากครรภ์มารดาได้เกิดเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้นอย่างหนึ่ง นั่นคือพระแสงประจำพระองค์ของพระเจ้าปเสนทิโกศลเกิดแสงสว่างโชติช่วงลุกเป็นไฟขึ้นมาเอง พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงเรียกท่านปุโรหิตมาถามว่าเหตุที่เกิดขึ้นเช่นนี้มีความหมายว่าอย่างไร

ท่านปุโรหิตได้กราบทูลต่อพระราชาไปตามความสัจจริงว่า “บุตรชายของข้าพระเจ้าเกิดเมื่อคืนนี้ เขาเกิดในฤกษ์มหาโจรและเป็นโจรที่ใครๆก็ปราบไม่ได้ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พระแสงของพระองค์ลุกเป็นไฟขึ้นมา เพื่อเป็นการกำจัดเภทภัยเสียแต่ต้นข้าพเจ้าเห็นสมควรให้พระองค์ทรงมีพระบัญชาประหารบุตรชายของข้าพเจ้าเสียเถิดพระเจ้าข้า...”

พระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นพระราชาผู้ทรงทศพิธราชธรรมมีจิตใจหนักแน่นในเมตตายุติธรรมจึงทรงถามปุโรหิตว่า “บุตรชายของท่านเวลานี้มันเป็นโจรแล้วหรือยัง”

“ขณะนี้บุตรชายข้าพระเจ้าเป็นเพียงทารกน้อยยังไม่ใช่เป็นโจร แต่ถ้าหากเขาเติบโตขึ้นมาเมื่อใด เขาจะต้องเป็นโจรแน่ๆและไม่มีใครปราบได้พระเจ้าข้า...”

“เมื่อบุตรชายท่านเป็นโจรเขาจะมีสมัครพรรคพวกบริวารมากหรือไม่ หรือเป็นโจรคนเดียว”

“เป็นโจรคนเดียวพระเจ้าข้า...”

พระเจ้าปเสนทิโกศลครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตรัสว่า “เมื่อเขาเป็นโจรเพียงคนเดียวไม่มีพวกบริวาร เรามีทหารเป็นกองทัพทำไมจะปราบโจรคนเดียวไม่ได้ บุตรชายของท่านขอให้เลี้ยงดูเขาต่อไป หากเขาเติบโตขึ้นมาและเป็นโจรร้ายเราจะปราบเขาเอง”

ท่านปุโรหิตและภริยาเลี้ยงดูบุตรน้อยจนถึงวาระต้องตั้งชื่อท่านปุโรหิตจึงให้ชื่อเป็นการล้างอาถรรพณ์ชาติกำเนิดว่า อหิงสกะกุมาร แปลว่า “กุมารผู้ไม่เบียดเบียน”

อหิงสกะกุมารเติบโตเจริญวัยขึ้นมาเป็นที่รักของบิดา มารดาและทุกคนที่รู้จัก เพราะกุมารน้อยเป็นผู้สุภาพอ่อนโยน ฉลาดเฉลียว น่ารักน่าเอ็นดู ครั้นเติบใหญ่ขึ้นมาอายุเกิน ๑๐ ขวบ ท่านปุโรหิตก็ได้นำอหิงสกะกุมารเข้าเฝ้าพระเจ้าปเสนทิโกศลทุกครั้งที่ตนเข้าเฝ้าเพื่อปฎิบัติราชกิจ โดยต้องการให้บุตรชายถวายความจงรักภักดีและเรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีของข้าราชบริพาร

อหิงสกะกุมารปฏิบัติตนนอบน้อมเรียบร้อยตามราชประเพณีไม่บกพร่อง อีกทั้งยังแสดงความจงรักภักดีต่อพระราชาอย่างมั่นคงและเปิดเผยทำให้พระเจ้าปเสนทิโกศลพอพระทัยในตัวอหิงสกะกุมารอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันก็ยากจะเชื่อว่าปุโรหิตได้ทำนายเอาไว้เป็นคำร้ายแรงว่าบุตรชายคนนี้จะเป็นโจรร้ายใจฉกาจไม่มีใครปราบปรามได้เพราะเท่าที่เห็นอหิงสกะกุมารหลายสิบครั้งมิได้ส่อแววชั่วร้ายอะไรเลยออกมา ซ้ำยังมีกิริยาอ่อนน้อมนุ่มนวลเพียบพร้อมด้วยจริยาวัตรงดงามน่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง

ดังที่ได้กล่าวถึงเรื่องของ “กรรม” เอาไว้แล้วว่า “กรรม” เป็นเรื่องละเอียดอ่อนซับซ้อนสุดจะประมาณได้ เช่นอหิงสกะกุมารผู้นี้ ในอดีตชาติเป็นเดรัจฉานคือควายป่าผู้มีสันดานมุทะลุดุดัน แต่ชาตินี้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์เป็นบุตรของปุโรหิตผู้มากล้นด้วยทรัพย์สินเงินทองและยศศักดิ์ ตัวของอหิงสกะกุมารเองก็เป็นคนเฉลียวฉลาดเป็นเลิศมีกิริยามารยาทงดงามจนเป็นที่ยกย่องสรรเสริญของคนทั่วไปถึงกับพระราชาเองก็ทรงให้ความเมตตาเอ็นดู

เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะกรรมดีในอดีตชาติใดชาติหนึ่ง (หรือหลายชาติก่อน) มีกำลังแรงกว่ากรรมชั่วจึงได้ส่งผลให้มาเกิดเป็นคนมีสติปัญญาดีและเกิดในตระกูลที่เพียบพร้อมด้วยลาภ, ยศ, สรรเสริญครบถ้วน…

เมื่ออหิงสกะกุมารมีอายุได้ ๑๖ ปี ท่านบิดาคือปุโรหิตก็ได้ส่งไปเล่าเรียนวิชาการอันเป็นสุดยอดของวิชาการทั้งหลายที่เมืองตักศิลากับพระอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งทรงความรู้สูงสุด อหิงสกะกุมารพากเพียรเล่าเรียนอย่างจริงจังประกอบกับมีปัญญาเฉลียวลาดยิ่งกว่าผู้ใด วิชาการทั้งหลายที่พระอาจารย์ถ่ายทอดให้จึงเรียนสำเร็จอย่างรวดเร็ว กล่าวคือบรรดากุลบุตรหลายคนจากเมืองต่างๆที่เดินทางมาเป็นศิษย์เพื่อศึกษาเล่าเรียนกับพระอาจารย์พร้อมกับอหิงสกะกุมารจะต้องใช้เวลาถึง ๔ ปีจึงจะเล่าเรียนได้สำเร็จ แต่อหิงสกะใช้เวลาเพียง ๒ ปีก็เรียนจบครบถ้วน อีกทั้งยังสำเร็จทุกวิชาอย่างเป็นเลิศ พระอาจารย์จึงรักใคร่และภาคภูมิในตัวศิษย์คนนี้ยิ่งนักมีความไว้วางใจถึงกับให้สอนศิษย์ร่วมสำนักแทนตนอยู่เนืองๆ

บรรดาศิษย์ทั้งหลายรุ่นเดียวกันเห็นอหิงสกะกุมารมีความรู้ความสามารถล้ำหน้าไปกว่าพวกตนมากมายหลายเท่านักต่างก็เกิดความอิจฉาริษยาไม่ปรารถนาให้อหิงสกะได้ดีกว่าตนจึงแอบตกลงกันใส่ความใส่ไฟป้ายความผิดแก่อหิงสกะกุมาร โดยเวียนกันไปบอกแก่พระอาจารย์ว่าอหิงสกะกุมารมีจิตกำเริบ มักใหญ่ใฝ่สูง ถือว่าตัวเองมีความเก่งกล้าสามารถเทียบเท่าพระอาจารย์คิดจะตั้งตนเป็นเจ้าสำนักเสียเอง และกำลังหาทางสังหารอาจารย์อยู่เพื่อที่ว่าตนเองจะได้เป็นใหญ่แต่ผู้เดียว

ตอนแรกพระอาจารย์ก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่บรรดาลูกศิษย์วนเวียนกันเข้าไปเป่าหูใส่ร้ายอหิงสกะกุมารไม่ขาดระยะ ความหนักแน่นมีเหตุมีผลจึงสั่นคลอนอารมณ์ริษยาไม่อยากให้ใครได้ดีกว่าตนพลอยกำเริบตามคำยุยงของพวกศิษย์ขี้อิจฉาพระอาจารย์ก็คิดกำจัดอหิงสกะกุมารให้ตายไป แต่จะสังหารอหิงสกะอย่างเปิดเผยก็กลัวจะถูกครหาเป็นที่เสื่อมเสียเกียรติคุณว่าเป็นอาจารย์สังหารลูกศิษย์จึงทำอุบายเรียกอหิงสกะกุมารมาพบแล้วบอกว่า “ข้ามีมนต์บทหนึ่งชื่อว่า “วิษณุมนต์” ถ้าเรียนสำเร็จจะมีฤทธิ์ปราบได้ทั้งไตรภพ คือมนุษย์ เทวดา พรหม ไม่มีใครสู้ได้ลูกศิษย์ทั้งหลายนอกจากเจ้าไม่มีผู้ใดเหมาะสมจะเรียนมนต์บทนี้นอกจากเจ้า เจ้าต้องการเรียนหรือไม่”

อหิงสกะกุมารได้ยินพระอาจารย์บอกกล่าวเช่นนี้มีหรือจะไม่อยากเรียนได้ถามว่าหากตนปรารถนาจะเรียนมนต์ “วิษณุมนต์” จะต้องทำอะไรบ้าง พระอาจารย์ผู้ซ่อนเล่ห์ตอบว่า “ผู้ที่จะเรียนมนตรานี้สำเร็จต้องฆ่าคนบูชาครูให้ครบ ๑,๐๐๐ คนก่อน ข้าจึงจะถ่ายทอดมนต์วิเศษนี้ให้”

การที่อาจารย์บอกให้อหิงสกะกุมารไปไล่ล่าล้างผลาญชีวิตผู้คนจำนวนมากเช่นนี้ เพราะต้องการยืมมือผู้อื่นฆ่าอหิงสกะกุมารแทนตน โดยเฉพาะเมื่ออหิงสกะกลายเป็นฆาตกรโหดสร้างความเดือดร้อนแก่อาณาประชาราษฎร์พระราชาคือพระเจ้าปเสนทิโกศลย่อมมีพระบัญชาให้กองทัพทำการจับตัวอหิงสกะกุมารไปประหารอย่างแน่นอน

คราวนี้… อกุศลกรรมคือกรรมเลวกำลังรอจังหวะอยู่ก็สนองแก่อหิงสกะกุมารทันที เนื่องจากกุศลกรรมอ่อนกำลังลงทำให้อหิงสกะกุมารเชื่อฟังคำของพระอาจารย์ไม่ผิดกับคนไร้สติปัญญา ลืมความผิดชอบชั่วดีจนหมดสิ้น มืดบอดไปกับคำบอกกล่าวซึ่งแฝงเจนาร้ายนั้น

และ… นับตั้งแต่วันนั้นอหิงสกะกุมารก็ออกจากสำนักของอาจารย์ตระเวนไปเพียงคนเดียวเพื่อดักฆ่าคนตามคำอาจารย์ มีคนชะตาขาดถูกอหิงสกะกุมารฆ่าตายคนแล้วคนเล่า ข่าวโจรเดี่ยวที่คอยดักฆ่าคนแพร่กระจายออกไปสร้างความหวาดหวั่นพรั่นพรึงแก่ชาวบ้านชาวเมืองทั่วทุกเขตคาม

พระเจ้าปเสนทิโกศลได้รับถวายรายงานเรื่องโจรเดี่ยวคอยดักฆ่าคนจึงทรงบัญชาการให้กองทหารออกตามล่า แต่อหิงสกะกุมารนั้นมีความเฉลียวฉลาดนักสามารถหลบเร้นกองทหารที่กระจายกันควานหาตนได้ทุกครั้ง อหิงสกะกุมารผู้กลายเป็นฆาตกรโหดดำรงตนอยู่อย่างลำบาก เพราะต้องนอนกลางดินกินกลางทราย ต้องหลบซ่อนแฝงกายในป่าดง หรือหลบเร้นจากกองทหารของพระราชาที่ตระเวนตามล่าทั้งวันทั้งคืนรูปโฉมอันหมดจดสง่างามก็แปรเปลี่ยนไปเนื่องจากคราบไคลฝุ่นละอองชโลมไปทั่วร่าง ผมเผ้าและหนวดเครารกรุงรัง ตลอดจนอาภรณ์ที่นุ่งห่มก็เก่าขาดเหลืออยู่เพียงแค่พันกายมิให้อุจาดตาเท่านั้น

การดักฆ่าคนกลายเป็นภาระที่อหิงสกะกุมารจำเป็นต้องกระทำ แต่นับวันก็ยิ่งหาคนมาเซ่นสังเวยคมดาบตนยากเข้าทุกทีทั้งนี้ก็เพราะชาวบ้านในเขตคามต่างๆไม่ยอมออกเดินทางไปมาเนื่องจากหวาดกลัวโจรเดี่ยวหฤโหดที่คอยดักสังหาร อีกประการหนึ่งทหารหลวงก็ออกตระเวนล่าตัวขวักไขว่ทำให้อหิงสกะกุมารต้องคอยหลบๆซ่อนๆ

อันที่จริงอหิงสกะกุมารเข่นฆ่าผู้คนมามากมายทีเดียว ตอนแรกๆก็จดจำนวนคนที่ตนฆ่าได้ แต่เวลาผ่านไปประกอบกับจิตใจว้าวุ่นวิปริตด้วยบาปมหันต์ ซึ่งกระทำซ้ำแล้วซ้ำอีกจึงทำให้หลงลืมจำนวนคนที่ถูกฆ่า เหตุนี้อหิงสกะกุมารจึงเริ่มต้นใช้นิ้วของผู้ตายร้อยเป็นพวงมาลัยคล้องคอเอาไว้ฆ่าคนๆหนึ่งก็ตัดนิ้วออกมานิ้วหนึ่งแล้วร้อยเพิ่มเข้าไปในพวงคล้องคอ

กิตติศัพท์การกระทำเช่นนี้ ชาวบ้านชาวเมืองจึงเรียกขานเขาว่า “องคุลีมาล” หรือ “โจรผู้ฆ่าเอานิ้วมือ”

วิถีทางแห่งอกุศลกรรม ซึ่งอหิงสกะกุมารผู้กลายเป็นองคุลีมาลกำลังกระทำอยู่ คือผลแห่งกรรมในอดีตชาติ ผู้ที่ถูกองคุลีมาลฆ่าตายแต่ละคนแท้ที่จริงก็คือผู้ซึ่งรุมกันฆ่าควายป่าจอมมหิงษาตัวนั้นรวมทั้งผู้ที่สนับสนุน ร่วมวางแผนและมีความยินดีในการฆ่าควายป่าก็ได้มาร่วมรับชะตากรรมพร้อมๆกันด้วย

องคุลีมาลตระเวนฆ่าคนตัดนิ้วมาได้ ๙๙๙ คนแล้วยังขาดอีก ๑ คนเท่านั้นก็จะครบเต็มจำนวน แต่หาคนเป็นเหยื่อคมดาบคนสุดท้ายไม่ได้เลย จึงได้เดินทางเข้ามาจนใกล้เขตเมืองพาราณสี แม้จะแอบซ่อนเดินทางมาอย่างไรก็ยังมีผู้พบเห็นจนได้ข่าวคราวของ “องคุลีมาล” บุกเข้ามาสู่มหานครแพร่ออกไปเหมือนไฟลามทุ่ง และข่าวนี้ก็ล่วงรู้ไปถึงมารดาขององคุลีมาล

มารดาขององคุลีมาลเป็นห่วงใยลูกรักซึ่งได้กลายเป็นมหาโจรหฤโหดผู้สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้แก่ปวงชน ได้ทราบข่าวองคุลีมาลเดินทางมาอยู่ไม่ไกลนักวิสัยของแม่ผู้รักลูกปานดวงใจจึงปิติดีใจสุดพรรณนาคิดจะออกไปพบลูกชายในเช้าวันรุ่งขึ้น เพราะอยากพบเห็นลูกรักด้วยมิรู้ว่ามีความสุขหรือทุกข์ประการใด พร้อมกับตั้งใจจะอ้อนวอนขอร้องให้ลูกเลิกละประพฤติชั่วถึงขึ้นเข่นฆ่าผู้คนเสีย โดยหารู้ไม่ว่ากระแสกรรมซึ่งผูกพันกันมาตั้งแต่อดีตชาติกำลังจะส่งผลให้ปรากฏในไม่ช้านี้แล้ว เพราะมารดาขององคุลีมาลก็คือชาวบ้านคนหนึ่งในบรรดาผู้มีจิตเจตนาเข่นฆ่าควายป่าจอมมหิงษาจนตายไป และควายป่าได้ตั้งจิตอาฆาตจองเวรไม่ยอมอโหสิ

เช้ามืดวันรุ่งขึ้น… องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรวจดูอุปนิสัยของสัตว์โลกทั้งหลายว่ามีใครสมควรที่พระองค์จะไปทรงโปรดได้บ้าง พระบรมศาสดาก็ทรงทราบว่าองคุลีมาลผู้นี้มรรคผลจะเกิดแก่เธอแต่ถ้าให้องคุลีมาลพบกับมารดาซึ่งจะไปหาลูกชายเสียก่อน บาปอันมหันต์ก็จะเกิดแก่องคุลีมาล เพราะองคุลีมาลตั้งใจแน่วแน่ว่า ในตอนเช้าวันนี้หากพบปะใครเป็นคนแรกก็จะฆ่าทันทีเพื่อจะตัดนิ้วให้ครบ ๑,๐๐๐ นิ้ว องคุลีมาลจะต้องพบกับมารดาเป็นคนแรกแน่ๆ และเขาก็จะฆ่ามารดาตามที่ตั้งใจไว้ การฆ่าแม่ผู้ให้กำเนิดเป็นอนันตริยกรรม แม้จะมีบุญมหาศาลอย่างไร บุญนั้นจะยังให้ผลไม่ได้ต้องไปรับกรรมในอเวจีมหานรกก่อน

ด้วยพระกรุณาธิคุณ พระพุทธองค์จึงตัดสินพระทัยไปโปรดองคุลีมาลก่อนที่เขาจะสร้างกรรมตามที่จองเวรไว้ พระพุทธองค์เสด็จผ่านไปยังที่องคุลีมาลซ่อนกายอยู่ เมื่อองคุลีมาลเห็นพระสมณโคดมก็ออกจากที่ซุ่มซ่อนวิ่งไล่หมายจะฆ่าเอานิ้วที่ ๑,๐๐๐ ซึ่งเป็นนิ้วสุดท้าย พระบรมศาสดาได้แสดงฤทธิ์โดยพระองค์ดำเนินไปตามปกติ ส่วนองคุลีมาลวิ่งไล่กวดสุดฝีเท้า แต่วิ่งจนเหนื่อยหอบอย่างไรก็ไม่ทันพระองค์ องคุลีมาลจึงตะโกนไปว่า“สมณะหยุดก่อน”

พระจอมไตรตอบว่า“เราหยุดแล้ว”

พระพุทธองค์ทรงดำเนินไปเรื่อยๆองคุลีมาลวิ่งไล่อย่างไรก็ไม่ทันเช่นเคย จึงฉุนโกรธยิ่งนักตะโกนกล่าวไปอีกว่า“สมณะ! ทำไมจึงพูดมุสาวาท ท่านเดินอยู่ แต่บอกว่าหยุดแล้ว”

พระพุทธเจ้าจึงหันมาดำรัสว่า“องคุลีมาล ตถาคตหยุดจากบาปธรรม กรรมอันลามกแล้ว เธอยังไม่หยุดอีกหรือ…”

ด้วยพระพุทธดำรัสเพียงเท่านี้องคุลีมาลก็ฉุกคิดได้กุศลกรรมได้เข้ามาสนองใจ ใจก็เกิดมีกำลังเพราะปีติได้สติคิดว่า โอ้… นี่เราทำความชั่วเสียแล้วหรือ จึงวางดาบถอดพวงร้อยนิ้วออกแล้ววิ่งเข้าไปหมอบกราบแทบพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า ขณะนั้นมารดาขององคุลีมาลมาถึงพอดี พระพุทธองค์จึงทรงให้โอวาทในที่สุดองคุลีมาลก็ขออุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาและได้บรรลุเป็นพระอรหันต์…

นี่คือพระอรหันต์อีกองค์หนึ่งสมัยพุทธกาลที่ยืนยันถึงกฎแห่งกรรมตราบใดที่ไม่อาจข้ามพ้นห้วงแห่งโอฆะได้ การเวียนว่ายตายเกิดก็ย่อมดำเนินต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด


http://www.amulet.in.th/forums/view_topic.php?t=1581

การทำแท้ง (แม่ชีทศพร บุญเทวาพิทักษ์)

การทำแท้ง ถือเป็นกรรมในหมวดข้อการเบียดเบียนชีวิตหรือปาณาติบาต ผู้ที่กรรมนี้จะหากินไม่ขึ้น หาความสุขใจในชีวิตนี้ไม่ได้เลย เพราะโดนวิญญาณที่จะมาเกิดเป็นลูกของตัวเองนั้นจองเวรอาฆาต ซึ่งการเกิดการตายของมนุษย์นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณและวิบากกรรม โดยตรง

ผลกรรมอันเกิดจากการทำแท้งมี 2 ข้อคือ 1. กรรมที่ทิ้งลูกตัวเอง 2. กรรมในการฆ่าทำลายชีวิต ซึ่งอกุศลกรรมนี้พระไตรปิฎกได้กล่าวไว้ชัดเจนว่าผู้ที่ทำแท้งเมื่อสิ้นใจยัง ต้องตกนรก พ้นจากนรกจึงเกิดมาเป็นเปรต จากนั้นจะเป็นอสุรกาย ตนเมื่อมีบุญพอจะเกิดเป็นคนแต่ต้องถูกพ่อแม่ทอดทิ้งแต่เล็กหรือโโนพ่อแม่ของ ตนในชาติต่อไปทำแท้งตัวเองเสียหรือแท้งลูกโดยอุบัติเหตุ

ส่วนกรรม จากการปาณาติบาลหรือทำลายชีวิตลูกของตัวเองนั้นจะทำให้มีอายุสั้น มีโรคภัยเบียดเบียนมาก หากินไม่ขึ้นและกรรมจากการทำแท้งมักจะก่อผลให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงถึงขั้น เสียชีวิตได้ แม้ผู้ที่เกี่ยวข้องการการทำแท้งยังต้องมีอกุศลกรรมติดตัวตามไปด้วยเช่นกัน

คัดลอกมาจากบทความข้างล่างนี้

“กฎแห่งกรรม” ทำอะไร ได้อย่างนั้น !?
โดย แม่ชีทศพร บุญเทวาพิทักษ์

.............................................................

แม่ชีทศพร บุญเทวาพิทักษ์ นั้น มักจะเน้นย้ำให้ลูกศิษย์ได้สนใจและเอาใจใส่ไม่ให้สร้างกรรมใหม่ขึ้นมาเพื่อ ลดกรรมที่เราเคยได้ทำมาแล้วทั้งในอดีตและปัจจุบันโดยเฉพาะกรรมที่เราได้ทำ กับบิดามารดา โดยได้แบ่งแยกให้เห็นอย่างชัดเจนในหนังสือ “เกิดแต่กรรม” ดังนี้

ลูกเถียงพ่อเถียงแม่

สำหรับผู้ที่ชอบเถียงพ่อจัดว่าเป็นการทำความชั่วที่หนักหนาสาหัสเมื่อลูกผู้ นั้นเริ่มเข้าสังคมจะโดนผู้อื่นว่าร้าย ถกเถียงชนิดคำต่อคำ พ่อแม่เคยเจ็บช้ำจากการเถียงของลูกเช่นไรลูกคนนนั้นก็จะโดนสังคมบีบคั้นเช่น กันกรรมนี้สามารถพบเห็นในพบชาตินี้แน่นอน

ส่วนทางร่างกายนั้นลูกที่เถียงพ่อแม่ที่มีกรรมหนักมากจะมีอาการลิ้นสั้นจุกปาก พูดจาไม่ถนัด พูดลิ้นพันกัน ลิ้นแข็ง ฯลฯ

ลูกที่ทำร้ายพ่อแม่

ในศาสนาพุทธนั้นสอนว่าลูกที่ทำร้ายพ่อแม่ตายไปแล้วจะไปเกิดในขุมนรกชื่อตปะ นรก มีลักษณะเป็นบัวกลดเผาทำลายอยู่เป็นนิจมียมบาลคอยเอาค้อนทุบหัวอยู่ร่ำไป แต่ถ้าจะให้เห็นในชาติปัจจุบันแม่ชีธนพรบอกว่าคนที่ทำร้ายพ่อแม่อกุศลกรรมจะ ทำให้คนผู้นั้นถูกคนรักทำร้าย เช่นอาจจะเป็นสามี ภรรยา บุตรหรือคนที่สนิททำร้ายได้

ลูกที่ใช้ให้พ่อแม่บริการตัวเอง

การที่ลูกๆ ใช้พ่อแม่ให้บริการตัวเองหรือพ่อแม่เต็มใจบริการลูกๆ เพราะรักลูกมาก เช่นซักผ้า ล้างจาน ทำกับข้าวให้จะถือว่าเป็นกรรมที่พ่อแม่ทำให้เกิดกับลูกทั้งสิ้น ทำให้เมื่อลูกออกไปใช้ชีวิตในสังคมจะต้องไปเป็นข้าผู้อื่น ถูกคนอื่นเอารัดเอาเปรียบเป็นต้น

การทำแท้ง

การทำแท้ง ถือเป็นกรรมในหมวดข้อการเบียดเบียนชีวิตหรือปาณาติบาต ผู้ที่กรรมนี้จะหากินไม่ขึ้น หาความสุขใจในชีวิตนี้ไม่ได้เลย เพราะโดนวิญญาณที่จะมาเกิดเป็นลูกของตัวเองนั้นจองเวรอาฆาต ซึ่งการเกิดการตายของมนุษย์นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณและวิบากกรรม โดยตรง

ผลกรรมอันเกิดจากการทำแท้งมี 2 ข้อคือ 1. กรรมที่ทิ้งลูกตัวเอง 2. กรรมในการฆ่าทำลายชีวิต ซึ่งอกุศลกรรมนี้พระไตรปิฎกได้กล่าวไว้ชัดเจนว่าผู้ที่ทำแท้งเมื่อสิ้นใจยัง ต้องตกนรก พ้นจากนรกจึงเกิดมาเป็นเปรต จากนั้นจะเป็นอสุรกาย ตนเมื่อมีบุญพอจะเกิดเป็นคนแต่ต้องถูกพ่อแม่ทอดทิ้งแต่เล็กหรือโโนพ่อแม่ของ ตนในชาติต่อไปทำแท้งตัวเองเสียหรือแท้งลูกโดยอุบัติเหตุ

ส่วนกรรมจากการปาณาติบาตหรือทำลายชีวิตลูกของตัวเองนั้น จะทำให้มีอายุสั้น มีโรคภัยเบียดเบียนมาก หากินไม่ขึ้นและกรรมจากการทำแท้งมักจะก่อผลให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงถึงขั้น เสียชีวิตได้ แม้ผู้ที่เกี่ยวข้องการการทำแท้งยังต้องมีอกุศลกรรมติดตัวตามไปด้วยเช่นกัน


.............................................................

โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 3 ธันวาคม 2547 14:25 น.

.............................................................

กระทู้เกี่ยวกับการทำแท้ง

1. ทำแท้ง (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=20694

2. การทำแท้ง (แม่ชีทศพร บุญเทวาพิทักษ์)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=20695

3. ทำแท้ง : ตัดสินอย่างไร ?...พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=20693

4. กรรมออนไลน์จากการทำแท้ง (พญ.ชัญวลี ศรีสุโข)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=20692

.....................................................
ทำความดีทุกๆ วัน

ผลกรรมจากการลวกหอยแครง...(นางกมลวรรณ อารีพันธ์)

ดิฉัน นางกมลวรรณ อารีพันธ์ มีอาชีพรับจ้าง ตัดเย็บเสื้อผ้า
มีสามีเมื่ออายุ ๒๕ ปี ชีวิตครอบครัวไม่ราบรื่น มีแต่ปัญหา
เคยไปหาหมอดู หมอดูบอกว่า เคยทำบาป เมื่อชาติที่แล้ว
จะต้องเป็นอย่างนี้ ไม่มีทางแก้ไข ดิฉันก็อดทนทุกๆ ครั้งที่มีปัญหา
คิดเสียว่าใช้กรรมที่ทำมา แต่พอมามีลูกคนเล็ก
ก็มีปัญหาในครอบครัวมากขึ้นๆ จนทนแทบจะไม่ไหว
แต่ก็ต้องอดทนจนลูกคนเล็กมีอายุ ๘ ปี
ปัญหาก็ไม่จบ จนต้องแยกทางกัน
พ่อบ้านได้ขายบ้าน เพราะไม่มีเงินใช้ให้ลูกเรียนหนังสือ
และได้มาอาศัยญาติอยู่ ลูกคนเล็ก ก็ยังสร้างปัญหาให้อีกมากมาย
ส่งให้เรียนหนังสือ ก็ไม่เรียน
ไปเรียนวิชาที่สังคมเขาไม่เรียนกัน จวบจนปี พ.ศ.๒๕๓๘
แม่ของดิฉัน ก็ล้มป่วย เดินไม่ได้ ความชราภาพทำให้เหมือนเด็กเล็กๆ
ดิฉันต้องดูแลแม่ และต้องติดตามลูกคนเล็ก
ว่าไปทำอะไร อยู่ที่ไหน เงินก็ไม่มี
ต่อมาก็ถูกญาติที่เราอาศัยอยู่ไล่ออกจากบ้าน
เลยไปอยู่กับลูกชายคนโต ที่ชลบุรี
ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๔๐ ได้พบเพื่อนบ้านเดินมาทักทาย
และคุย เรื่องหลวงพ่อจรัญ ให้ฟัง และเอาหนังสือสวดมนต์
มาให้โดยบอกว่าบทสวดมนต์ ของหลวงพ่อจรัญ แล้วจะดีเอง
ดิฉันฟังแล้วจิตตั้งใจว่า จะมากราบหลวงพ่อจรัญ ที่วัดอัมพวัน
แต่ดิฉันก็ยังไม่มีโอกาส ได้แต่สวดมนต์
บทสวดมนต์ที่สวด ก็สวดผิดบ้าง ถูกบ้าง
โดยตั้งจิตอธิษฐาน ให้หลวงพ่อจรัญ ช่วย
ถ้าหากแม่ของดิฉันหมดอายุไข ก็ขอให้ไปอย่างสงบ
ถ้าแม่ยังไม่หมดอายุไข ก็ขอให้แม่มีร่างกาย และจิตใจดีขึ้น
ดิฉันได้สวดมนต์ แล้วจิตสงบดีขึ้นมาก
สวดมนต์ได้ ๕ เดือน แม่ก็สิ้นใจไปอย่างสงบ
ดิฉันจึงได้เดินทางมาที่วัดอัมพวัน
เข้าปฏิบัติธรรม เมื่อเดือน กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๑
โดยมาหลายๆ ครั้ง ก็ยังไม่เห็นลูกชายจะดีขึ้น
เลยชักเบื่อและหมดความอดทน
มีอยู่มาวันหนึ่ง ได้พบคุณพานิช และคุณจินตนา
ทั้งสองท่านได้บอกให้ดิฉันอดทนอีกหน่อย
และท่านทั้งสองก็ได้พาดิฉันเข้ากราบหลวงพ่อ
ดิฉันได้กราบเรียนเรื่องลูกชายคนเล็กให้หลวงพ่อฟัง
หลวงพ่อท่านเทศน์บอกว่า ไม่เป็นไร ดิฉันไปปฏิบัติเข้าปีที่สอง
ได้เห็นและรู้ว่า เราได้ทำบาปไว้
เมื่อก่อนชอบลวก แล้วใช้แปรงทองเหลืองปัดหอยแครง
ให้สามีรับประทานกับเหล้า เป็นประจำ หอยแครงมาเข้าฝัน มาเป็นล้านๆ ตัว
อ้าปากแดง ร้องอี๊ด อ๊าด แล้วลูกก็ป่วยเป็นเหมือนถูกน้ำร้อยลวก
ดำๆ แดงๆ เป็นทั้งตัว ป่วยหลายเดือน กว่าจะหาย
ดิฉันได้ปฏิบัติธรรมแล้วก็ขออโหสิกรรม แผ่เมตตาไปให้หอยแครง
เสียค่าใช้จ่ายไปกับลูกคนเล็กเป็นแสน ก็ไม่ดีขึ้นได้
อานิสงส์ของการสวดมนต์ ปฏิบัติธรรม
และคำสอนของหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน
ลูกของดิฉันทั้งสองคนจึงดีขึ้น ได้ทำงานที่ดี
จนทุกวันนี้ดิฉันสบายใจ สบายกาย
ลูกได้ส่งเงินมาให้ดิฉันใช้ทุกๆ เดือน ดิฉันมีเงินเพื่อเป็นค่ารถ
และค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาปฏิบัติธรรมได้ต่อเนื่อง
ที่วัดอัมพวันตลอดมา ทำให้ดิฉันและครอบครัวมีความสงบสุข

นางกมลวรรณ อารีพันธ์
๕๖/๑๑๕ หมู่บ้านศรีบัณฑิตการ์เด้นวิลด์
ถนนบางกรวย-ไทรน้อย ตำบลบางกรวย
อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี
โทรศัพท์ ๐-๒๔๔๗-๑๒๗๘, ๐-๒๘๘๓-๗๕๐๓

คัดลอกจาก...กฎแห่งกรรม - ธรรมปฏิบัติ เล่มที่ ๑๗
http://jarun.org

ทำบุญให้พ่อแม่ผู้ล่วงลับ เขาจะได้รับหรือเปล่า - หลวงปู่เทสก์

คัดมาบางส่วนจากหนังสือ "ปุจฉาวิสัชนาในประเทศ"
โดย พระนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาจารย์ (หลวงปู่เทสก์ เทสก์รังสี)

ปล. ผู้โพสต์ได้จัดหน้าใหม่ บรรดาตัวเน้นเส้นใต้ทั้งหลาย
ล้วนเป้นฝีมื่อผู้โพสต์ดัดแปลงเพื่อให้อ่านง่าย และเน้นสิ่งสำคัญ
หากต้องการต้นฉบับ PDF ซึ่งถูกออกแบบมาให้พร้อมพิมพ์ออกทางเครื่องพิมพ์ ก็ขอเชิญที่นี้
http://www.hinmarkpeng.org/dhamma01.html


(๑) ถาม การทำบุญอุทิศให้ผู้มีพระคุณทั้งหลายมีมารดาบิดาเป็นต้น
ทำอย่างไรจึงจะทราบได้ว่าผู้นั้นได้รับหรือเปล่า ถ้าผู้นั้นไม่ได้รับบุญเหล่านั้นจะเป็นของใคร

(๑) ตอบ ปัญหาเรื่องนี้กินความกว้างขวางมาก มีผู้ถามปัญหาข้อนี้กับผู้เขียนตั้งแต่ครั้งยังเป็นสามเณรอยู่
จนมาได้บวชพระนับเป็นเวลา ๖๐ กว่าปี แล้วก็ยังมีคนถามอยู่

นี่แหละผู้เขียนหวังว่าถึงผู้เขียนตายไปแล้ว ถ้ายังมีการทำบุญให้ผู้ตายไปแล้วอยู่
คงจะมีปัญหาอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด

ผู้เขียนจะตั้งประเด็นไว้เป็นข้อๆ เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจง่าย และกันความหลงลืมดังนี้
๑.๑ ทำบุญให้แก่ผู้ที่ตายไปแล้ว
๑.๒ ทำอย่างไรจึงจะทราบได้ว่าผู้นั้นได้รับหรือเปล่า
๑.๓ ถ้าผู้นั้นไม่ได้รับ บุญอันนั้นจะเป็นของใคร



๑.๑ ทำบุญให้แก่ผู้ที่ตายไปแล้ว
๑.๑ ผู้ทำบุญโดยส่วนมาก ๙๙ เปอร์เซ็นต์ เพื่ออุทิศแก่ผู้มีพระคุณทั้งหลายมีบิดามารดาเป็นต้น

ชาวพุทธมีดีตรงนี้แหละ พุทธศาสนาสอนให้รู้จักบุญคุณของผู้ที่มีพระคุณทั้งหลาย
แล้วทำดีเพื่อสนองพระคุณของท่านเหล่านั้น

ถ้าไม่รู้จักบุญคุณของผู้มีพระคุณแล้ว คนเราก็จะกลายเป็นเดรัจฉานไปหมด
การทำความดี คือ บุญกุศลนี้ย่อมทำสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์
ไม่ทำสิ่งที่เป็นโทษแก่ตนและคนอื่น ทำในที่เปิดเผย ไม่ทำในที่ลับด้วยและทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ

ไม่เหมือนกับคนที่ทำความชั่ว ทำความชั่วนั้นทำด้วยความเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส และก็ทำในที่ลับไม่เปิดเผยด้วย
ทั้งไม่อุทิศส่วนบาปนั้นให้แก่ผู้มีพระคุณทั้งหลาย
ถึงแม้อุทิศให้แก่ใครก็ไม่มีใครอยากรับ เพราะเป็นของเศร้าหมอง

ทำบุญให้แก่ผู้มีพระคุณที่ตายไปแล้วนี้ จงทำด้วยของบริสุทธิ์
อย่าไปฆ่าเป็ด ไก่ ฆ่าวัว ฆ่าควายมาทำ จะบาปหนักเข้าไป

อีกทำเล็กๆ น้อยๆ ด้วยใจผ่องใสบริสุทธิ์ เป็นต้นว่าตักบาตรถวายอาหารพระสงฆ์ บุญก็มากเอง
บุญมิใช่เกิดเพราะไทยทานมากๆแต่เกิดขึ้นจากใจเลื่อมใสศรัทธาต่างหาก
เปรียบเหมือนเทียนที่เรามีอยู่แล้วไปขอต่อจากคนอื่น เทียนของคนอื่นก็ไม่ดับ ของเราก็ได้ไฟสว่างมา
เหตุนั้นบุญในพุทธศาสนาจึงหมดไม่เป็น

คนมากี่ร้อยกี่พัน เอาหัวใจของตนมาตักตวงเอา บุญในพุทธศาสนานี้ก็ไม่มีหมด
บุญยังเต็มเปี่ยมอยู่ตามเดิม ถ้าทำด้วยความเลื่อมใสแล้ว วัตถุทานมีน้อยก็กลายเป็นของมากเอง


๑.๒ ทำอย่างไรจึงจะทราบได้ว่าผู้นั้นได้รับหรือเปล่า
เรื่องนี้เป็นของพูดยาก เพราะผู้ที่ตายไปแล้วก็ไม่ได้ตอบรับเหมือนเราส่งจดหมายไปหากัน
อนึ่ง บุญนั้นก็มิใช่จะส่งไปได้อย่างพัสดุไปรษณีย์เพราะเป็นของไม่มีตัวตน

เป็นความรู้สึกภายในใจว่าบุญที่ตนทำนี้ต้องถึงผู้ตายไปแน่
และเราเชื่อตามคำสอนของพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสว่า
ทำบุญให้แก่ผู้ตายไปแล้วต้องทำในพระภิกษุผู้มีศีลและเมื่อต้องการอยากจะให้เขาได้บริโภคอาหาร ก็
ต้องทำบุญถวายอาหารเมื่อต้องการอยากจะให้เขาได้เครื่องนุ่งของห่ม ก็ถวายผ้าผ่อนเครื่องนุ่งของห่ม แล้วอุทิศ
กุศลนั้นไปให้แก่เขาเหล่านั้น แล้วของเหล่านั้นก็จะปรากฏแก่เขาเหล่านั้นเองโดยที่ไม่มีใครนำไปให้เขา



๑.๓ ถ้าผู้นั้นไม่ได้รับ บุญอันนั้นจะเป็นของใคร
เรื่องนี้บอกได้ชัดเลยว่า บุญเป็นของผู้ทำแน่นอนเพราะผู้ทำเกิดศรัทธาเลื่อมใสพอใจในการกระทำบุญ
บุญก็ต้องเกิดในหัวใจของผู้นั้นเสียก่อนแล้วอุทิศส่วนบุญนั้นให้แก่ผู้มีอุปการะคุณที่ตายไปแล้ว
ได้ชื่อว่าทำบุญสองต่อ คือเราได้ทำบุญแล้วเพราะศรัทธาเลื่อมใสจึงทำบุญ
แล้วเราอุทิศส่วนบุญนั้นไปให้แก่ผู้ตายไปอีก เป็นอีกต่อหนึ่ง

ทำบุญให้ผู้ตายนี้ท่านแสดงไว้ว่ายากนักผู้ที่ตายจะได้รับ เหมือนกับงมเข็มอยู่ในก้นบ่อ
แต่ผู้ยังมีชีวิตอยู่ก็ชอบทำ นับว่าเป็นความดีของผู้นั้นอย่างยิ่ง

ท่านเปรียบไว้ สมมุติว่าบุญที่ทำลงไปนั้นแบ่งออกเป็น ๑๖ ส่วน
แล้วเอาส่วนที่ ๑๖ นั้นมาแบ่งอีก ๑๖ ส่วน
ผู้ตายไปจะได้รับเพียง ๑ ส่วน เท่านั้น

ฟังดูแล้วน่าใจหาย เพราะฉะนั้นเราทั้งหลายจึงไม่ควรประมาท
ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่นี้มีสิ่งใดควรจะทำก็ให้รีบทำเสียตายไปแล้วเขาทำบุญไปให้ไม่ทราบว่าจะได้รับหรือไม่
ถึงแม้ได้รับก็น้อยเหลือเกิน เพราะคนตายแล้ว เขาเรียกว่าเปรต ไม่ได้เรียกว่า บิดา
มารดา ป้า น้า อาว์ ครูบาอาจารย์ อย่างเมื่อเป็นมนุษย์อยู่นี้หรอก

ในบรรดาเปรตเหล่านั้นมี ๑๑ พวก
มีจำพวกเดียวที่จะได้รับส่วนบุญที่คนยังมีชีวิตอยู่อุทิศไปให้ เรียกว่า ชีวิตูปรัตตเปรต เปรตจำพวกนี้ได้รับทุกข์ร้อนลำบากมาก

เพราะในเปรตโลกนั้นไม่มีการทำนาค้าขาย แม้แต่ขอทานก็ไม่มี
เสวยผลกรรมของตนๆที่ทำไว้ เมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่นี้เท่านั้น
ฉะนั้นเปรตจำพวกนี้แหละมนุษย์คนที่ยังเป็นอยู่ทำบุญอุทิศไปให้จึงจะได้รับ
เปรตนอกนั้นแล้วไม่ได้รับเลย เช่น ตายไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ไม่ได้รับ นับประสาอะไร

บางทีสามีภรรยานอนอยู่ด้วยกันแท้ๆ ฝ่ายหนึ่งทำบุญขอให้อีกฝ่ายหนึ่งอนุโมทนาด้วย ก็ไม่รับ
พวกที่ไปเกิดเป็นเดรัจฉานยิ่งไม่รู้กันใหญ่
ไปเกิดในนรกหมกไหม้ทุกขเวทนามาก ทำบุญอุทิศไปให้ก็ไม่รู้อะไร เพราะกำลังเสวยผลกรรมอันนั้นอยู่

หรือไปเกิดเป็นเทวดาชั้นใดชั้นหนึ่งก็เหมือนกัน เขากำลังเสวยผลบุญของเขาอยู่
เขาจะมาเอากุศลผลบุญของเราได้อย่างไร

ชีวิตูปรัตตเปรต ดังเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสาร
มีเรื่องเล่าว่า เมื่อครั้งพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่พระเจ้าพิมพิสารเกิดอาเพทตอนกลางคืน
มีเสียงดัง ขลุกๆ ขลักๆ ทั่วไปหมดในห้องพระตำหนัก พระเจ้าพิมพิสารกลัวจะเกิดเหตุเป็นอันตรายแก่ราชบัลลังก์
จึงเข้าไปกราบทูลเหตุอันนั้นแก่พระพุทธเจ้า

พระองค์ตรัสว่า ไม่มีอันใดเลย
พวกเปรตที่เป็นญาติของพระองค์แต่ครั้งพระพุทธเจ้าชื่อว่า พระวิปัสสี โน่น เขามาขอส่วนบุญกับพระองค์
ขอมหาบพิตรจงทำบุญให้เขาแล้วอุทิศส่วนบุญนั้นให้เขาเสีย เสียงนั้นก็จะหายไป

พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงกระทำ ทักษิณานุประทาน ทำบุญอุทิศให้แก่เปรตเหล่านั้นแล้ว
พวกเปรตเหล่านั้นได้รับส่วนบุญแล้วก็มีกายอ้วนท้วนสมบูรณ์ แต่ยังไม่มีผ้าเครื่องนุ่งห่ม

ทีหลังก็มาปรากฏให้พระเจ้าพิมพิสารเห็นอีก พระเจ้าพิมพิสารก็นำเอาเรื่องพฤติการณ์อันเปรตมาแสดงนั้น
ไปกราบทูลพระพุทธเจ้าอีก

พระองค์จึงตรัสว่า เพราะมหาบพิตรไม่ได้ทำบุญผ้า
พระเจ้าพิมพิสารจึงทรงทำบุญถวายผ้าแก่พระสงฆ์ และอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่เปรตเหล่านั้น
พอเปรตเหล่านั้นได้รับแล้วก็ไปเกิดในสุคติภพในสวรรค์

ที่มาเล่าสู่กันฟังพอเป็นทัศนคติที่ว่า ทำบุญให้แก่ผู้ที่ตายไปแล้วจะได้รับหรือไม่
เพราะผู้เขียนก็ไม่สามารถจะไปล่วงรู้เขาได้ และผู้ตายไปแล้ว
แม้แต่โยมบิดามารดาของผู้เขียนก็ไม่เคยบอกว่า บุญที่ทำแล้วอุทิศไปให้ได้รับหรือเปล่า
แต่ผู้เขียนก็ทำบุญอุทิศไปให้เสมอเป็นแต่ได้ฟังมาจากตำรา จะหาว่าเล่านิทานหลอกเด็กให้กลัวเฉยๆ
แต่ถ้าผู้ใหญ่กลัวอย่างเด็กๆแล้ว บ้านเมืองก็ไม่เป็นอย่างทุกวันนี้ เด็กเชื่อง่ายหัวอ่อน สั่งสอนน้อมใจเชื่อเร็ว
ผู้ใหญ่จึงชอบสอนเด็กๆ แต่เมื่อโตขึ้นมาแล้ว ถือว่าเรามีสิทธิเสรีเต็มที่ไม่ต้องเชื่อความคิดของคนอื่น
เชื่อความคิดของตนเอง หรือเข้าสมาคมกับผู้ใหญ่เลยเป็นผู้ใหญ่ไปหมด
ความเชื่อและความคิดเมื่อยังเด็กอยู่ที่อบรมไว้เลยหายหมดเลย
กลายมาเป็นผู้ใหญ่อย่างผู้ใหญ่ทั้งหลายที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้

อนึ่ง เรื่องการทำบุญใช้หนี้เจ้ากรรมนายเวร เรื่องนี้ผู้เขียนไม่รู้จริงๆ จึงตอบไม่ได้ ขอผู้รู้ทั้งหลายได้
เมตตาแนะแนวให้ผู้เขียนได้ทราบบ้างก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง
กรรมที่ตนกระทำไว้แล้ว ไม่ว่ากรรมดีและกรรมชั่ว ผลของกรรมนั้นย่อมเกิดที่ใจของตนเอง
มิิใช่ผู้ทำกรรมผู้หนึ่ง เจ้ากรรมนายเวรอีกผู้หนึ่ง
คล้ายๆ กับว่ามีเจ้ากรรมนายเวรเป็นผู้บัญชาการอยู่
ทำบุญอุทิศกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวรผู้บัญชาการเพื่อให้เป็นสินน้ำใจ
แล้วเจ้ากรรมนายเวรก็จะลดหย่อนผ่อนผันให้อย่างนี้เป็นต้น

หรือกรรมเวรที่เราทำแก่คนอื่นนั้น คนนั้นเองเป็นเจ้ากรรมนายเวรเราเห็นโทษความผิดแล้วทำบุญอุทิศไปให้แก่
เขาเพื่อเขาจะลดโทษผ่อนผันให้ อันนี้ก็ไม่ถูก เพราะเขาตายไปแล้ว ไม่ทราบไปเกิดในที่ใด และกำเนิดภูมิใด ดังได้อธิบายมาแล้วในข้างต้น

คนที่ทำกรรมทำเวรแก่กันแล้วเมื่อยังเป็นคนอยู่นี้ จะพ้นจากกรรมจากเวรได้ก็เมื่ออโหสิกรรมให้แก่กันและกัน
ในเมื่อยังเป็นคนอยู่นี่แหละตายไปแล้วจะอโหสิกรรมให้แก่กันและกันไม่ได้เด็ดขาด

มิใช่ว่าเราได้ทำกรรมชั่วทุจริตด้วยจิตที่เป็นบาปมีอกุศลมูลเป็นพื้น
มาภายหลัง ๒๐ ปี ๓๐ ปี ๔๐ ปี หรือเท่าไรก็ตาม ระลึกถึงกรรมอันนั้นแล้วกลัวบาป
จึงทำบุญอุทิศไปให้แก่ผู้ที่เราได้กระทำแก่เขานั้นเพื่อให้เขาอโหสิกรรมให้ ดังนี้เป็นการไม่ยุติธรรม

เป็นการตัดสินคดีภายหลังจากเหตุการณ์ ถ้าถือว่าเราระลึกถึงความชั่วของตนแล้ว
ทำความดีเพื่อแก้ตัวหรือปลอบใจของตัวเอง เป็นการสมควรแท้

การทำบุญให้แก่ผู้ตายไปแล้วจะได้หรือไม่ มีอรรถาธิบายกว้างขวางมาก
อธิบายมาก็มากพอสมควร พอที่ผู้ฟังจะเข้าใจบ้างตามสมควร
จึงขอยุติไว้เพียงแค่นี้เสียก่อนเพื่อจะได้ตอบปัญหาคนอื่นต่อไป

.....................................................
"เพราะหากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"

ผลกรรม...(นางปรียาภรณ์ ประภัศรานนท์)

ข้าพเจ้าชื่อ นางปรียาภรณ์ ประภัศรานนท์ ปัจจุบันอายุ ๔๘ ปี
มีบุตรชาย ๑ คน อายุ ๒๔ ปี กำลังศึกษาอยู่
สามีรับราชการ ข้าพเจ้าเป็นคนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

ข้าพเจ้าได้เข้ามาปฏิบัติธรรมครั้งแรกเมื่อวันเข้าพรรษาปี พ.ศ.๒๕๔๓
เป็นเวลาเพียง ๔ วัน การมาปฏิบัติในครั้งนั้นข้าพเจ้าไม่ค่อยเข้าใจ
แต่ก็มิได้ลดละความพยายาม ยังคงเวียนมาวัดอยู่หลายครั้ง
บางครั้งก็ชวนเพื่อนหรือญาติพี่น้องมาเพื่อฟังคำสั่งสอนของหลวงพ่อ
และได้นำหนังสือไปสวดมนต์
บทพุทธคุณ ธรรมคุณ และอิติปิโส เกินอายุ ๑ จบ
เนื่องจากในช่วงนั้นข้าพเจ้ายังเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจอยู่
จึงไม่ค่อยมีเวลาที่จะมาวัดเพื่อปฏิบัติได้บ่อยๆ
ปัจจุบันข้าพเจ้าได้ลาออกจากงานแล้ว จึงมีเวลาที่จะปฏิบัติธรรมได้มากขึ้น
นิสัยเดิมของข้าพเจ้าเป็นคนใจร้อน โกรธง่าย ไม่กลัวใคร
ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง เอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่
ชอบดื่มสุรา เที่ยวเตร่ และเล่นการพนัน ไม่เคยเข้าใจเรื่องเวรกรรม

ข้าพเจ้าได้เคยแต่งงานมาแล้ว ๑ ครั้ง มีบุตรชาย ๑ คน
สามีของข้าพเจ้าเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจเช่นเดียวกับข้าพเจ้า
มีตำแหน่งหน้าที่การงานดี เป็นคนรักครอบครัว
แม้ข้าพเจ้าทำผิดก็ให้อภัย รู้จักประหยัด เหมือนมีกรรมบังตา
ข้าพเจ้ากลับไม่ชอบไม่ถูกใจ มองว่าเค้าเป็นคนเห็นแก่ตัว
ข้าพเจ้าชอบออกไปเที่ยวกับเพื่อนและดื่มสุราเป็นประจำ
จนทำให้ข้าพเจ้าได้รู้จักกับสามีคนปัจจุบัน ซึ่งมีครอบครัวอยู่แล้ว
ชอบดื่มสุรา เที่ยวเตร่ เล่นการพนัน และเจ้าชู้
แต่ข้าพเจ้ากลับมองว่าดี โดยมิได้เกรงกลัวต่อบาป
มีอยู่วันหนึ่งข้าพเจ้าได้มาวัดพร้อมกับพี่พาณิชย์
พี่พาณิชย์ ได้เรียนหลวงพ่อว่า สามีของข้าพเจ้าเจ้าชู้
มีภรรยาน้อยควรจะทำอย่างไรดี
หลวงพ่อท่านหันมาทางข้าพเจ้า ชี้ใส่ข้าพเจ้า
และกล่าวว่าก็เรามันไม่ดีเอง ถึงได้ไปเลือกเค้ามา
ข้าพเจ้าก็รู้สึกเห็นจริงตามที่หลวงพ่อท่านกล่าว
จึงตอบรับว่าเจ้าค่ะ
จึงเริ่มได้คิดว่าการดื่มสุรานี้ และการทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด
ตัดสินใจผิดๆ ขาดสติ โดยไม่คิดเกรงกลัวต่อบาป
ไม่คิดว่าเวรกรรมมีจริง จนเมื่อได้มาปฏิบัติธรรม
และได้ฟังคำสั่งสอนของหลวงพ่อในวันพระบ้าง
จากเทปที่หลวงพ่อเทศน์บ้าง และจากหนังสือกฎแห่งกรรม
จึงทำให้เข้าใจ และรู้ถึงผลกรรมมากขึ้น
เมื่อทำไปแล้วก็ไม่สามารถจะเรียกกลับคืนมาได้อีก
คนเราเมื่อทำกรรมใดไว้ก็ย่อมต้องได้รับผลของกรรมนั้นไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว
ปัจจุบันทำให้ข้าพเจ้าเลิกดื่มสุรา และเลิกเล่นการพนันโดยเด็ดขาด

จากผลกรรมที่ทำมาก็ทำให้ข้าพเจ้ามีความทุกข์
จนทำให้ต้องหาทางดับทุกข์ที่เราเป็นผู้ก่อขึ้นเอง
เมื่อมาอยู่กินกับสามีคนปัจจุบันได้ประมาณ ๘ ปี
สามีก็เริ่มประพฤติตนแบบเดิมๆ อีก
ชอบออกเที่ยว เล่นการพนัน พูดจาโกหก
(ติดผู้หญิงใหม่ พร้อมกับติดยาบ้าควบคู่กัน)
ไม่ค่อยกลับบ้าน โดยที่ก่อนหน้านี้ เมื่อมาอยู่ด้วยกันกับข้าพเจ้า
เค้าเริ่มรู้จักที่จะทำมาหากิน ช่วยกันสร้างฐานะ
จนมีบ้านเป็นของตัวเอง ๑ หลัง มีรถยนต์
และมีที่ดินเพิ่มขึ้นถึงจะพอมีพอกิน ก็ดูจะมีความสุข
เมื่อสามีไปมีผู้หญิงคนใหม่จนมีลูกด้วยกัน
ก็ยังไม่ยอมที่จะไปจากชีวิตของข้าพเจ้า
ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าทุกข์ใจมากขึ้น หาความสุขแทบไม่ได้
มีปากเสียงทะเลาะกันเป็นประจำ
จึงพยายามที่จะหาทางดับทุกข์
จนมีโอกาสได้มาปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน
ทำให้จิตใจที่เคยร้อน ก็เย็นลงได้บ้าง
ถึงจะทำได้ไม่มากนักแต่ก็ยังดีกว่าก่อนที่จะมาปฏิบัติธรรม

ช่วงก่อนออกพรรษาปี ๒๕๔๓ สามีไม่เคยกลับมาบ้านเลย
เนื่องจาก ขณะนั้นก็ยังติดยาบ้าและไปอยู่กับผู้หญิงคนนั้น
ข้าพเจ้าก็คิดว่าคงจะจบกันได้แล้ว ไม่คิดที่จะอยากได้เค้าคืนมา
แต่ก็อดเป็นห่วงเรื่องที่เค้าติดยาบ้าและยังเลิกไม่ได้
เวลาที่ข้าพเจ้าขึ้นห้องพระเพื่อสวดมนต์ทุกวัน
ก็จะขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และขอบารมีหลวงพ่อ
ให้ช่วยแผ่เมตตาให้กับสามีของข้าพเจ้า
หากสิ่งที่ลูกได้ปฏิบัติมานี้เป็นสิ่งที่ดี
ก็ขอให้สามีเลิกยาเสพติดได้ด้วยเถิด
จนถึงวันออกพรรษาข้าพเจ้าก็ได้มาปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน
เป็นเวลา ๗ วัน ก็ได้แผ่เมตตาให้กับสามี
และขอบารมีหลวงพ่ออีกเช่นเคย
เมื่อปฏิบัติครบ ๗ วัน ข้าพเจ้าเดินทางกลับบ้าน
วันรุ่งขึ้นสามีก็กลับเข้าบ้านเช่นกัน
ก็เป็นเวลา ๑ เดือน พอดี ที่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นหน้าเค้าเลย
เหมือนปาฏิหาริย์ สามีมาบอกกับข้าพเจ้าว่า เลิกยาบ้าได้แล้ว
ข้าพเจ้าทำท่าไม่เชื่อ เค้าบอกว่า เลิกได้จริงๆ
ข้าพเจ้าถามว่าเลิกได้ตั้งแต่เมื่อไร
เค้าก็พูดโกหกว่า เลิกได้นานแล้ว
ข้าพเจ้า จึงพูดว่า เธอจะยอมรับความจริงไหม
ว่าเธอเพิ่งเลิกได้ก่อนหน้าที่จะมาพบกับฉันเพียง ๒-๓ วันนี้เอง
เค้าก็ยอมรับว่าใช่ และเล่าถึงการที่เลิกได้ว่า
ช่วงที่ข้าพเจ้าไปวัดเค้าได้กลับมาบ้านแต่ไม่พบข้าพเจ้า
เนื่องจากปกติคนเราถ้าติด (ยาบ้า)
หากไม่ได้เสพก็จะรู้สึกปวดหัว และทุรนทุราย
แต่นี่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อเสพแล้วกลับปวดหัวมาก
เวลานอนเหมือนมีอะไรหนักๆ มาทับที่หน้าอก
คล้ายมีสัญญาณมาเตือนว่า ถ้าขืนเสพต่อไปไม่รอดแน่
จึงรีบกลับบ้านมาตามหาข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจึงเชื่อว่า การปฏิบัติธรรมนั้น ช่วยให้คนในครอบครัว
ไม่ว่าจะเป็นสามี หรือลูก เป็นคนดีได้
ปัจจุบันสามีเลิกยาบ้า
และลูกของข้าพเจ้าก็เชื่อฟังไม่ค่อยเถียงเหมือนแต่ก่อน

เรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนมานี้เป็นเรื่องจริงทั้งหมด
ถึงแม้จะไม่ละเอียดเหมือนกับชีวิตจริง
แต่ใครที่อ่านแล้วต้องประสบกับเวรกรรมที่คล้ายคลึงกับข้าพเจ้า
ก็พอจะเป็นแนวทางให้ท่านได้นำไปปฏิบัติอย่าได้ท้อแท้กับชีวิต
ตั้งใจปฏิบัติธรรม และสวดมนต์ควบคู่กัน
ท่านต้องตั้งใจทำจริงๆ แล้วท่านจะได้พบกับสิ่งดีๆ ในชีวิตของท่าน
ซึ่งท่านสามารถ จะรู้ได้ด้วยตนเอง
สำหรับท่านปฏิบัติดีอยู่แล้ว
หากท่านได้มาลองปฏิบัติธรรมดูท่านก็จะได้ดียิ่งขึ้นไปอีก
จะได้ไม่เดินทางผิด
การมีเงิน มีทอง มีทรัพย์สมบัติมากมาย
นั่นเป็นเพียงความสุขทางกาย แต่ความสุขทางใจนั้นหาได้ยากมาก

ข้าพเจ้าเองก็ต้องขอขอบคุณสามีของข้าพเจ้า
ที่ทำให้ข้าพเจ้าได้พบกับเหตุการณ์ที่ทำให้รู้ถึงความทุกข์
รู้ถึงเวรกรรม ผลกรรมที่ได้กระทำมา
จึงทำให้ข้าพเจ้าได้มาพบกับ (หลวงพ่อจรัญ)
ซึ่งมีแต่ความเมตตา และพร่ำสั่งสอนให้เอาของจริงไปปฏิบัติ
ข้าพเจ้าจะตั้งใจปฏิบัติธรรม และสวดมนต์ควบคู่กันไป
ตามคำสั่งสอนของหลวงพ่อ
ให้รู้จักรักตัวเอง อย่าเอาจิตไปฝากไว้กับคนอื่น
เดี๋ยวนี้เมื่อสามีออกจากบ้าน
ข้าพเจ้าก็สามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข
ไม่ต้องเที่ยวออกไปตามดูให้ต้องทุกข์ใจ

ข้าพเจ้าขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อจรัญ
ที่ท่านได้พร่ำสอน จนข้าพเจ้าได้พบกับความสุขที่แท้จริง
ขออำนาจคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์
และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงประธานพรให้หลวงพ่อมีความสุข
มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง อยู่เป็นร่มโพธิ์ ร่มไทร
ให้กับลูกหลานทั้งหลาย ที่ยังหาหนทางที่จะพ้นทุกข์ยังไม่เจอ

นางปรียาภรณ์ ประภัศรานนท์
๒๑๖ ถนนเกาะหลัก ตำบลเกาะหลัก
อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ๗๗๐๐๐
โทรศัพท์ ๐-๑๕๑๕-๐๒๐๓

คัดลอกจาก...หนังสือกฎแห่งกรรม - ธรรมปฏิบัติ เล่มที่ ๑๗
http://www.jarun.org

นรกขุม

วันอังคารที่ ๓๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๓๒

ครั้งที่ ๒

นรกขุม ๒ แดนลงทัณฑ์ (คดีลามก)


กายธรรมกายของผมปรากฏอยู่ท่ามกลางต้นไม้สูงใหญ่ หลายๆ ต้น ต้นไม้นี้เป็นต้นไม้กลปลูกขึ้นเพื่อป้องกันวิญญาณหลบหนีเหนือขึ้นไปบนกิ่งไม้ยังมี “อีกาปากเหล็ก” เกาะอยู่ ผมเดินออกจากต้นไม้กลนี้ตามเครื่องหมายที่ปรากฏบนต้นไม้
เมื่อผมเดินพ้นออกมา เบื้องหน้าผมมียมทูตยืนอยู่สององค์ ยมทูตสององค์นี้สวมกางเกงขาสั้นสีกากี ไม่สวมเสื้อ รูปร่างบึกบึน มีผมสีทองออกน้ำตาล ไว้หนวดเครามีขนขึ้นอยู่บริเวณหน้าอก ที่แขวนขวาของยมทูตจะมีเครื่องหมายบอกไว้ว่าอยู่นรกขุมไหนที่คอและเท้ามีห่วงเหล็กคล้องอยู่บนคอและข้อเท้า ห่วงเหล็กจะแสดงถึงยศของยมทูต ยมทูตแต่ละชาติจะถืออาวุธและมีเครื่องหมายบอกยศไม่เหมือนกัน การแต่งกายในแต่ละองค์ก็จะผิดกันยมทูตอีกองค์หนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ นั้นผมดำหยิกเหมือนนิโกร ที่หน้าอกมีเส้นขนขึ้นเป็นกลุ่มอยู่ทั่วไป และแต่งกายด้วยเครื่องแบบเดียวกันกับยมทูตองค์ที่ยืนข้างๆ ยมทูตทั้งสององค์นี้เป็นยมทูตประเทศอังกฤษ และถืออาวุธเป็นหอกยาวเหน็บอาวุธด้วยเหล็กเรียกว่า “ปืนยาวไร้วุทธ์”
ข้างๆ ของยมทูตมีผู้หญิงสองตน มีชื่อว่า “ผีลามก” เป็นผีที่มืออวัยวะเพศใหญ่เกินตัว ผีทั้งสองตัวกำลังคุกเข่าชันมือชันเข่ากับพื้นดิน ผีหญิงตัวหลังกำลังใช้ลิ้นเลียอวัยวะเพศของผู้หญิงตนข้างหน้า ความรู้สึกของผีทั้งสองตนในตอนนี้กำลังเมามันกับความทุกข์ของตน เขาได้รับกรรมทาสเสมือนหนึ่งดังตัวเองได้เข้าไปร่วมเพศกับเพศชายจริงๆ เพราะกรรมเก่าที่เขาได้เคยทำในอดีตเขาทั้งสองจะเป็นผีที่มีอวัยวะเพศใหญ่ยาวในลักษณะของเพศหญิงเพราะเขาได้ร่วมเพศกับเพศเดียวกันกับตน
อดีตชาติของหญิงสองตนนี้ เป็นผู้หญิงที่มีอาชีพขายบริการให้กับขายกลัดมันที่เข้ามาเที่ยวหาความสุขกับตน หญิงทั้งสองตนนี้ได้สร้างกรรมหนักไว้กรรมชายหลายคน เขาได้แพร่กระจายเชื้อโรคจากกายของตนเข้าสู่ร่างกายผู้อื่นด้วยการร่วมเพศและแพร่พันธุ์เชื้อให้เขา
เขาได้ถูกลงโทษในนรกขุมนี้อยู่นาน จนกว่าเขาจะพ้นกรรมนั่นเป็นบาปกรรมที่พวกเขาได้รับเนื่องจากกรรมลามก
จากการลงทัณฑ์ในที่นี้เขาจะถูกนำตัวไปที่อื่นอีกตามกำหนดกรรมที่กำหนดไว้ ผมเดินตามไปเรื่อย ๆ ยมทูตได้นำวิญญาณสองตนไปสู่สระน้ำกว้างใหญ่มีชื่อบอกว่า สระกาเม ผีทั้งสองตนนี้เมื่อเห็นสระน้ำต่างก็วิ่งลงไปเล่นน้ำด้วยความไม่รู้ว่าน้ำนั้นเป็นอย่างไร เขาได้ถูกน้ำกรดในน้ำกัดกินร่างกายจนขาดวิ่น เขาทั้งสองได้โผล่ขึ้นมาจากน้ำด้วยความทุรนทุราย บนใบหน้าของพวกเธอได้แสดงถึงความบูดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดอันสุดจะทนและได้ร้องออกมาอย่างสุดเสียง ผิวหนังของพวกเธอถูกกัดกินด้วยการกัดของกรดในน้ำจนแหลกเหลว เมื่อผีทั้งสองรู้สึกตัวเช่นนั้นต่างก็กระเสือกกระสนหนีอย่างสาละวน โดยหารู้ไม่ว่าการลงทัณฑ์นี้เขาไม่สามารถหลบหนีได้แม้มีชั่วเวลาว่าง รูปร่างที่ออกมาใหม่ของพวกเธอ ผมเห็นแล้วแทบจะวิ่ง ดวงตาเธอหลุดออกมานอกเบ้าปากของเธอ หูของเธอ ขาของเธอ ขาดหายไปจากร่าง ไม่รู้ว่าหายไปไหน แต่ผมสันนิษฐานว่าคงจะถูกน้ำกรดกัดกินจนหมดแล้ว นี่เป็นความคิดเห็นของผม ผมออกจากแดนนี้ไปด้วยความรู้สึกหดหู่ ใจคิดว่าเขาจะพ้นกรรมเมื่อไหร่ สักวันหนึ่งคงไม่นาน… เขาทั้งสองคนพ้นกรรมในเร็ววัน
เขาทั้งสองได้ถูกไฟนรกในขุมนี้เผาลายร่างกายจนหมด เถ้าถ่านเหลืออยู่บอกได้เพียงว่ากองนี้เป็นของใคร เพราะไฟนรกนั้นเป็นไฟกรดที่มีอำนาจกรรมบังคับอยู่ ไม่อาจบอกได้ว่ามีอานุภาพเพียงใด ผมเดินตามยมทูตไปอีก เธอทั้งสองถูกนำตัวไปในบ่อซึ่งหนอนอยู่เต็ม หนอนแต่ละตัวนี้มีความยาวห้านิ้วคน ความยาวของหนอนนี้จะทำให้ร่างกายของคนหดสั้นเข้าด้วยน้ำลาย ของหนอนนี้ (หนอนนี้เมื่อเกาะคนก็จะคายน้ำลายออกมาตามร่างกาย) คนที่ถูกหนอนนี้เกาะจะมีสภาพเหมือนเปรตไม่มีผิด เน่าเปื่อยไม่มีเหลือ บาปกรรมที่ได้ก่อได้ชดใช้กับตอนนี้ ใครหนอ…. กล่าวว่าบาปกรรมนั้นไม่มี ผมว่าบาปกรรมนั้นมี แต่มีใครเล่าจะรู้ว่ามันมีเช่นไร ไปไหน และในสภาพใด (นี้เป็นคำพูดที่ผมกล่าวไว้เพียงผู้เดียว)
“สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นไปตามกฎแห่งกรรม ไม่มีผู้ใดหลีกหนีไปได้”

เวรกรรม ของเศรษฐี

ในตลาดไม่มีใครเลยสักคนที่ไม่รู้จัก เถ้าแก่ " ตั๋ง " เพราะแกเป็นผู้บุกเบิกตลาดแห่งนี้เป็นคนแรก แกขายทุกอย่างที่จะขายได้ ตั้งแต่ กาแฟ ไข่ลวก บุหรี่ สุรา ไปจนถึง ปะยาง รถจักรยายยนต์ พอมีเงิน เก็บหอมรอมริบก็ซื้อที่ทางไว้

กระทั้งเวลาผ่านไปไม่กี่ปี เถ้าแก่ตั๋ง ก็เป็นเจ้าของตลาดเต็มตัว มีแผงให้เช่าโดยไม่ต้องขายเหมือนก่อนหน้าที่แกก็ คือเดินตรวจตลาด เก็บค่าเช่าอย่างชนิดไม่ขาดไม่เกิน

" อั้วไม่ล่ายสร้างตลาด มาให้พวกลื้อติดค่าเช่าน้ะ ให้ลู้ซะล่วย " เป็นคำพูดที่เถ้าแกชอบพูดดัง ๆ เป็นการกึ่งประจานเวลาแผงไหนผลัดค่าเช่าแก

ใคร ๆ ก็รู้จักเถ้าแก่ตั๋ง เพราะแกจะวางท่ายิ่งใหญ่ไม่รู้จักใคร หรือถ้าใครเดินเข้าตลาดแล้วไม่ซื้อของแก ก็จะเดินไปด่าเขาทำตัวเป็นที่อิดหนา ระอาใจกับคนในตลาดนั้น ถ้าย้ายได้ก็ย้ายหนีไป ถ้าย้ายไม่ได้ก็ต้องทนรับสภาพไป

หลายปีผ่านมา เถ้าแก่ตั๋ง ได้ขยายครอบครัวกลายเป็น ตระกูลห้าพยางค์ อันยิ่งใหญ่ขยายกิจการใหญ่โต ประกอบกับตัวเถ้าแก่เริ่มแก่ชราหน้าที่เก็บค่าเช่า และดูแลผลประโยชน์ก็ตกมาถึงลูกหลาน ที่เจริญรอยตามเถ้าแก่ ตั๋ง ขณะเดียวกันเมื่อลูกหลานเติบโต แบ่งแยกครอบครัวกันออกไป เถ้าแก่ที่เคยมีอดีตอันยิ่งใหญ่ ก็เหมือนคนแก่คนหนึ่งภายในบ้าน ไม่ได้รับความสนใจจากลูกหลาน เรียกว่าถูกทอดทิ้งก็ว่าได้

หลังจากมีการแบ่ง มรดก ให้ลูกหลานเป็นที่เรียบร้อย เถ้าแก่ตั๋ง ก็ถูกส่งไป บ้านพักคนชรา โดยลูกหลานปล่อยอย่างไม่ใยดี แม้ตัวแกจะห่วงตลาดเก่าที่สร้างมากับมือ แต่ร่างกายก็ซูบซีดผอมจนหนังหุ้มกระดูกหมดราศีความเป็นเถ้าแก่ ชีวิตต้องนั่งรถเข็นอย่างหมดสภาพ

วันหนึ่งขณะที่ตลาดจอแจด้วยผู้คนไปมา ชายชราคนหนึ่ง สภาพมอมแมมไม่ต่างอะไรจาก ขอทาน เสื้อผ้าขาดวิ่น แขนขาลีบเรียว จนต้องนอนหมอบกับพื้นสกปรก ที่ตลาดแห่งนั้น แล้วเจ้าเด็กน้อย ๒ คน ที่มองดูชายชราตามประสาเด็ก พลางล้วงกระเป๋าหยิบเศษเหรียญสตางค์หย่อนลง กระป๋องแล้วพูดว่า

" ตาออกไปขอทานที่อื่นเถอะเดี๋ยวเตี่ยมาเห็นจะโดนไล่หรอก เตี๋ยบอกว่าเมื่อตอนก๋งอยู่ ก๋งไม่ชอบให้ขอทานมาอยู่ในตลาด "

เจ้าเด็กน้อยพูดเจื้อยแจ้วโดยไม่รู้หรอกว่า ขอทานผู้นั้นคือ เถ้าแก่ตั๋งหรือก๋งคนที่แกพูดถึง และแกก็ยังห่วงตลาดที่แกสร้างมากับมือ


ที่มา <!-- m -->http://www.watkoh.com<!-- m -->
.....................................................
ปัจฉิมโอวาท "ภิกษุทั้งหลาย! บัดนี้เราขอเตือนพวกท่านให้รู้ว่า
สิ่งทั้งหลายที่เกิดมาในโลกมีความเสื่อมสลายเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงทำหน้าที่อันเป็นประโยชน์แก่ตนและคนอื่น ให้สำเร็จบริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด"

วิธีลดกรรม 45 อย่าง

1. กรรมที่ไม่มีลูก
กรรมจาก การทำร้ายลูกของสัตว์อื่น พรากสัตว์อื่นจากพ่อแม่หรือเคยข่มเหงลูกคนอื่น
ลดกรรม ด้วยการงดกินเนื้อสัตว์ทุกๆ 7 วัน ในทุกๆเดือนทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญบริจาคทานที่มูลนิธิสัตว์หรือมูลนิธิเด็กอ่อน

2. เจ็บป่วยบ่อย หรือเป็นโรคร้าย
กรรมจาก เคยทำทารุณกรรมต่อสัตว์
ลดกรรม ด้วยการทำบุญทำทานกับสัตว์อนาถา ให้อาหารให้ความเมตตา ซื้อยาหรือบริจาคเงินที่โรงพยาบาลสงฆ์ ทำบุญปล่อยเต่า งดกินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต

3. ตาบอดหรือเป็นโรคตา
กรรมจาก เคยทำร้ายสัตว์ที่ดวงตา หรือไม่เคยทำบุญเติมน้ำมันตะเกียงในชาติก่อน หรือเคยทำลายไฟฟ้าของวัด ของที่สารธารณะ
ลดกรรม ซื้อโคมไฟ หลอดไฟถวายวัด ถวายเทียนห่อใหญ่ ถวายไฟฉาย เติมน้ำมันตะเกียงทุกวันพระ บริจาคเงินในกล่อง ซื้อน้ำมันเติมตะเกียงที่วัด

4. ถูกรถเฉี่ยวชน ถูกลูกหลง ถูกสัตว์กัดต่อย
กรรมจาก จากเคยเป็นคนพาลเกะกะเกเร หาเรื่องเดือดร้อนให้ผู้อื่น มักรังแกและสาปแช่งผู้อื่นอยู่เสมอ
ลดกรรม หมั่นพูดดี มีวาจาไพเราะ

5. สูญเสียคนใกล้ชิด
กรรมจาก เคยยิงนกตกปลา
ลดกรรม ทำบุญไถ่ชีวิตโค กระบือ งดกินเนื้อสัตว์อย่างน้อยสัก 1 อย่างชั่วชีวิต หรือกินเจทุกๆ 3 เดือน ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา

6.ถูกนินทา ถูกให้ร้าย
กรรมจาก เคยพูดจาให้เป็นเหตุให้คนอื่นเป็นทุกข์หรือเดือดร้อน
ลดกรรม พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี พูดดี พูดให้คนอื่นเกิดประโยชน์ พูดให้ผู้อื่นมีความสุข

7. มักเดือดร้อนเพราะไฟ ไฟไหม้บ้าน ไฟดูด
กรรมจาก เคยลบหลู่พระสงฆ์ และศาสนา
ลดกรรม ตักบาตรทุกวันพระ ทำบุญถวายสังฆทานทุกเดือน ฟังเทศน์ฟังธรรมทุกวันพระ หรือทุกๆเดือนในวันพระ ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกจ่ายฟรี

8. ขาดบารมี ไร้ญาติขาดมิตร
กรรมจาก ไม่เคยไปร่วมงานบุญงานศพ
ลดกรรม ร่วมทำบุญงานศพ บริจาคเงิน หรือร่วมด้วยแรงกายช่วยงานอื่นๆในงานศพ เช่นทำอาหาร จัดดอกไม้

9. ตั้งหลักปักฐานไม่ได้ โยกย้ายบ่อย
กรรมจาก ไม่เคยร่วมทำบุญสร้างโบสถ์สร้างวิหาร แก่วัดวาอารามต่างๆ
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างหลังคาวิหาร ร่วมทำบุญฝังลูกนิมิต หมั่นไปไหว้ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ณ เมืองที่ตนอยู่อาศัย

10. มักถูกรังแก ถูกเบียดเบียน
กรรมจาก ไม่เคยบวช หรือทำบุญงานบวช
ลดกรรม บวช ด้วยจิตศรัทธาปวารถาอย่างบริสุทธิ์ไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝงจะบวช 7 วัน หรือ 15 วัน 1 เดือน 1 พรรษา แล้วแต่
จิตศรัทธา ถ้าเป็นสตรีจะบวชชีพราหมณ์ หรือถือศีล 8 ตามเวลาที่สะดวกและตั้งจิตศรัทธา หรือร่วมทำบุญงานบวชอย่างสม่ำเสมอเท่าที่จะทำได้

11. ไม่มีคนชื่นชมเอ็นดู ชาดเสน่ห์
กรรมจาก ไม่เคยถวายของหอม
ลดกรรม หมั่นทำบุญไหว้พระทุกวันพระ ถวายธูปหอม เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย ทองคำเปลว ประน้ำอบน้ำปรุง ประพฤติดี
ปฏิบัติชอบต่อผู้อื่น คิดดี ทำดี พูดดี ให้ผู้อื่นได้ดี มิให้ร้ายผู้ใด

12. เป็นที่รังเกียจ มีกลิ่นปาก กลิ่นตัว
กรรมจาก ทำติเตียนดูแคลน ผู้ที่ชอบทำบุญทำทาน
ลดกรรม หมั่นทำบุญทำทานอย่างสม่ำเสมอ ฟังเทศน์มหาชาติทุกๆปี ชักชวนผู้อื่นให้ร่วมทำบุญหรือบริจาคทานเป็นการบอกบุญผู้อื่น
พิมพ์หนังสือธรรมะจ่ายแจกฟรี

13. ไปไหนมาไหนลำบาก มีแต่อุปสรรค
กรรมจาก เคยทำลายหนทางสัญจรของวัด หรือของชาวบ้าน หรือทำให้ทางสัญจรสาธารณะได้รับความไม่สะดวก
ลดกรรม บริจาคทรัพย์หรือแรงกายช่วงสร้างสะพาน สร้างทางอันเป็นประโยชน์แก่วัด หรือชุมชนเล็กๆ ช่วยผู้คนยากไร้ให้ได้มียวดยานพาหนะหรือทางสัญจรที่สะดวก

14. เป็นคนรับใช้เขาร่ำไป
กรรมจาก เคยเนรคุณผู้ที่เคยมีพระคุณแก่ตน
ลดกรรม ตอบแทนผู้มีคุณด้วยความกตัญญู ร่วมทำบุญสร้างพระพุทธรูป พระประธาน ทำทานทั้งกับคนและสัตว์

15. ขัดสน อดมื้อกินมื้อ
กรรมจาก เคยละเว้นการใส่บาตร ละเว้นการให้ทาน เมื่อมีคนยากไร้มาขอทานอาหารและน้ำ
ลดกรรม แบ่งปันอาหาร น้ำ เสื้อผ้า แก่คนยากไร้อนา! ถา แม้ไม่มีเงินก็แบ่งปันสิ่งของตามที่มี ตักบาตรทุกเช้าหรือทุกวันพระ

16. อาภัพคู่ ร้างคู่
กรรมจาก เคยผิดลูกผิดเมียเขา
ลดกรรม บวชพระ หรือบวชชีพราหมณ์ ร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพงานแต่งงานคู่บ่าวสาวที่ยากจน ถวายของเป็นคู่ เช่น แจกันคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ เป็นต้น

17. ได้คู่ที่เลวร้าย ทำร้ายตนหรือทำให้เป็นทุกข์
กรรมจาก เคยข่มขืนเขาในชาติก่อน เคยทุบตีทำร้ายคู่
ลดกรรม บวชพระ หรือบวชชีพราหมณ์ ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา

18. อยู่โดดเดี่ยวยามบั้นปลาย
กรรมจาก เคยจับสัตว์ขัง
ลดกรรม ทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญทำทานแก่เด็กอนาถาและสัตว์อนาถา

19. รูปร่างหน้าไม่งดงาม
กรรมจาก ไม่เคยถวายดอกไม้ของหอม
ลดกรรม ถวายพวงมาลัยดอกไม้สด ดอกไม้หอม ทำบุญบริจาคดวงตา บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล

20. มักถูกโกง ถูกเบี้ยวเงิน
กรรมจาก เคยคดโกงผู้อื่น!
ลดกรรม สละทรัพย์บริจาคร่วมการกุศลต่างๆ ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน อุทิศส่วนกุศลแก่เจ้ากรรมนายเวรทุกๆ เดือน

21. พิการ ร่างกายไม่สมประกอบ
กรรมจาก เคยทุบตีพ่อแม่ ด่าพ่อแม่ หรือทำร้ายพ่อแม่
ลดกรรม หมั่นทำบุญไหว้พระ ปล่อยนกปล่อยปลา ถือศีล 5 ศีล 8 เจริญภาวนา นั่งวิปัสสนากรรมฐาน

22. มีคดีความ
กรรมจาก เคยพบคนทุกข์ร้อนแล้วไม่ช่วยหรือพยายามหาทางช่วยเหลือ
ลดกรรม หมั่นทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา นั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล 8 ทุกๆ 3 เดือนๆ ละ 7 วัน

23. ไร้ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
กรรมจาก ไม่สงเคราะห์คนอนาถา ที่มาขออาหาร ขอชายคาหลบฝน ไม่มีน้ำใจช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก
ลดกรรม ร่วมทำบุญซื้อกระเบี้องหลังคาโบสถ์ หมั่นไปกราบไหว้บู! ชาศาลหลักเมือง ทำบุญทำทานแก่สัตว์พิการหรือสัตว์จรจัด

24. จิตใจขุ่นมัว ดุดัน ขี้โมโห
กรรมจาก มักตะหนี่ในการทำบุญ
ลดกรรม สวดมนต ์ไหว้พระ ทุกวันพระ ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล 5 หรือศีล 8 ทุกๆ 3 เดือน บริจาคทาน แบ่งปันเงินทองหรือ สิ่งของแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก หรือร่วมทำบุญบริจาคทานกับมูลนิธิสถานสงเคราะห์ และวัดวาอารามต่างๆ

25. ไม่มีชื่อเสียง
กรรมจาก เคยติฉินนินทาทำให้ผู้อื่นเสียหาย
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างหอระฆัง ร่วมทำบุญหล่อเทียนพรรษา ทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา

26. ไม่มีวาสนาบารมี
กรรมจาก ไม่เคยนับถือชื่นชมผู้นับถือธรรมมะ
ลดกรรม ทำบุญสร้างพระพุทธรูป ทำทานกับคน

27. มีลูกหลานไม่ดี เกเร ไม่เชื่อฟัง
กรรมจาก ทำแท้ง เคยทำร้ายคนใกล้ชิดมาก่อน และทำร้ายจิตใจครอบครัวในชาติก่อน
ลดกรรม บวชเณร โดยให้ลูกบวชหรือไปร่วมบวช จะทำให้กรรมน้อยลง ปฏิบัติธรรมอุทิศให้ลูกตนเอง

28. เจอแต่คนเอาเปรียบ
กรรมจาก เคยเบียดเบียนเงินพ่อแม่ไว้ในอดีตชาติ เคยโกงคนไว้ในอดีตชาติ ขโมยเงินครอบครัวมาใช้
ลดกรรม หมั่นยึดถือศีล 5 ให้มั่น ไม่ดื่มเหล้า ทำให้ขาดสติ โดนโกงง่าย หมั่นสวดมนต์ อธิษฐานบารมีด้านขอพรให้พบเจอคนดีๆ เข้ามาในชีวิต

29. เกิดในสกุลต้อยต่ำ
กรรมจาก โอหัง อวดดี จิตใจคับแคบ
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างวัด สร้างพระประธาน ทำบุญทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี

30. ไร้สง่าราศี ขาดวาสนา
กรรมจาก เคยเมาสุระอาละวาด ระรานผู้อื่น!
ลดกรรม นั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ทำทานกับคนอนาถา และสัตว์อนาถา ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี

31. ไม่เจริญก้าวหน้า จิตใจเป็นทุกข์
กรรมจาก เคยชักจูงคนทำชั่ว
ลดกรรม ถือศีล 8 เป็นเวลา 7 วัน ทุกๆ 3 เดือน หมั่นทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน

32. จิตใจฟุ้งซ่าน เป็นทุกข์
กรรมจาก เคยริษยาผู้อื่น
ลดกรรม ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน ปล่อยปลาลงน้ำ นั่งสมาธิ สวดมนต์บทคาถาพระชินบัญชร

33. ชีวิตตกต่ำ ทำสิ่งใดไม่เจริญ
กรรมจาก เคยทำแท้ง
ลดกรรม ปล่อยปลาลงน้ำทุกๆ เดือน จนครบ 9 เดือน หรือ 1 ปีเต็ม ถวายสังฆทาน ทำบุญใส่บาตรเสมอ

34. เป็นเมียน้อย เมียเก็บ
กรรมจาก เคยผิดลูกผิดเมียเขามาก่อน ขืนใจเขาโดยไม่ยินยอม เคยอธิษฐานจิตร่วมกันมาว่ากี่ภพก็ขอให้ได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน
ลดกรรม ถวายธงคู่ ธูปคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ อย่างใดก็ได้ อธิษฐานจิตขอให้ชีวิตคู่ที่ดีขึ้น บวชชีพราหมณ์ ปีละ 1 ครั้ง 3 วัน อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยล่วงเกินให้ได้รับกุศลและเปิดทางให้ชีวิตคู่ดีขึ้น ร่วมเป็นเจ้าภาพงานแต่ง เพื่อชีวิตตนจะดีขึ้นและสมหวัง สวดมนต์ขอพรทุกวันเกิดด้านความรักให้สมหวังต่อไป ทำบุญสังฆทานสด ในวันเกิดตนเอง เดือนละครั้ง เพื่ออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติปัจจุบันชาติและวิญญาณที่ตามมาให้ได้รับกุศลและอโหสิกรรม

35. เป็นทุกข์เพราะคนในครอบครัว
กรรมจาก เคยลำเอียง ไร้คุณธรรมในด้านครอบครัวไว้ก่อน เคยเอารัดเอาเปรียบคนในครอบครัวและคนใกล้ชิดไว้ในชาติอดีตและชาติปัจจุบัน เคยทำให้ครอบครัวเขาแตกแยกในอดีตชาติ
ลดกรรม ต้องบวชชีพราหมณ์ เพราะเมื่อเกิดอีกภพชีวิตจะได้ดีมีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะกุศลของการบวช ปฏิบัติธรรมทำให้เจ้ากรรมนายเวร อโหสิกรรม และตนเองได้พบสิ่งที่มีกุศลมากขึ้น ยึดพรหมวิหาร 4 มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา จะทำให้ชีวิตมีความเมตตา และไม่ลำเอียงเอารัดเอาเปรียบคนใกล้ชิด ทำให้วิถีชีวิตมีคนนับถือและพ้นจากความทุกข์ในเรื่องญาติพี่น้องยุ่งเกี่ยวได้ นำพระคู่บ้านคู่เมืองเข้าสักการะที่บ้าน และสวดมนต์ขอพรให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข

36. เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต
กรรมจาก ฆ่าสัตว์ ทรมานสัตว์ ทำร้ายคนไว้ในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ
ลดกรรม ตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติปัจจุบันชาติ รวมถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ได้กุศลและอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ปล่อยสัตว์ลงน้ำในวันเกิดตนเอง กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรได้รับและอโหสิกรรม ถวายยาเข้าวัด หรือช่วยเหลือคนป่วย

37. เป็นมะเร็ง
กรรมจาก รู้เห็นเป็นใจกับการทำแท้ง การทารุณสัตว์ หรือการทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่น
ลดกรรม ทำบุญใหญ่อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และบวชชีพราหมณ์ 1 เดือน เพื่อส่งกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม
ทำบุญสร้างพระพุทธรูป สร้างโบสถ์หรือสร้างศาลาวัด ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี หมั่นนั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน

38. ค้าขายขาดทุน ทำงานไม่ก้าวหน้า
กรรมจาก เคยลบหลู่เจ้าที่เจ้าทาง
ลดกรรม หมั่นทำบุญใส่บาตร ถวายสังฆทาน ถวายเครื่องเซ่นสังเวย เจ้าที่-เจ้าทาง หมั่นสวดมนต์บทคาถาพระชินบัญชร

39. ด้อยปัญญา
กรรมจาก ฝักใฝ่อบายมุขในชาติก่อน หรือชักชวนคนไปทำชั่ว ดูแคลนหลักธรรมมะ
ลดกรรม พิมพ์หนังสือธรรมะจ่ายแจก ทำบุญทำทานกับโรงเรียนของเด็กพิการหรือตามมูลนิธิต่างๆ

40. ตกงาน
กรรมจาก เคยกลั่นแกล้งผู้อื่นในเรื่องงาน หรือแย่งงานผู้อื่น
ลดกรรม หมั่นทำบุญทำทาน ร่วมงานบุญต่างๆ ปล่อยนกปล่อยปลา

41. ไม่มีโชคลาภ
กรรมจาก ไม่เคยสวดมนต์ไหว้พระ
ลดกรรม หมั่นทำบุญสวดมนต์ไหว้พระ ถวายธูป เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย และทองคำเปลว

42. เรียนไม่จบ การเรียนมีอุปสรรค
กรรมจาก ชาติก่อนปฏิเสธการฟังเทศน์ฟังธรรม
ลดกรรม หมั่นเข้าวัด ร่วมงานบุญต่างๆ ฟังเทศน์ อ่านหนังสือธรรมะ

43. มีอาชีพต้อยต่ำที่ผู้คนดูแคลน
กรรมจาก ชาติก่อนเคยบวชด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ ไร้ความศรัทธา อาศัยผ้าเหลืองหากิน
ลดกรรม ถือศีล 5 ศีล 8 นั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ถวายสังฆทานทุกเดือน หรือทุก 3 เดือน

44. ครอบครัวยากจน
กรรมจาก ชาติก่อนไม่เคยบริจาคทาน
ลดกรรม หมั่นทำบุญด้วยการบริจาคทาน ถ้ามีเงินไม่มากก็บริจาคเป็นสิ่งของ แรงกาย หรือน้ำใจ ต่อผู้ตกทุกข์ได้ยาก เช่น ไปช่วยอ่านหนังสือให้มูลนิธิคนตาบอด

45. เป็นทุกข์เพราะความรัก
กรรมจาก ชาติก่อนเจ้าชู้ หลอกผู้อื่นให้อกหัก
ลดกรรม ประพฤติดีปฏิบัติดีทั้งความคิด กาย วาจา ใจ ร่วมทำบุญงานแต่งงาน ทำสิ่งดีๆ ให้คนอื่นได้สมรักสม

อ่านให้จบเพราะ จุดเด่นอยู่ที่ข้อ 19 ค่ะ
กฏแห่งกรรม
1. เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย
เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์

2. เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอยู่เสมอ
เพราะชาติก่อนคุณเคยทำทานอาหารแก่คนยากจนในชาติก่อน

3. เหตุใดชาตินี้คุณอดอยากยากจน ไม่มีเสื้อผ้าดีดีสวมใส่
เพราะคุณตระหนี่ขี้เหนียวไม่ยอมทำทานคนจน ในชาติก่อน

4. เหตุใดชาตินี้คุณมีบ้านเรือนให&shy;ญ่โต
เพราะคุณเคยถวายข้าวสารเข้าวัดในชาติก่อน

5. เหตุใดชาตินี้คุณมีความเจริ&shy;ญรุ่งเรืองและมีความสุขมาก
เพราะคุณเคยถวายเงินสร้างวัดในชาติก่อน

6. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนสวย และรูปงาม
เพราะคุณเคยถวายดอกไม้สดบูชาพระด้วยความเคารพในชาติก่อน

7. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมีปัญญาดี
เพราะคุณเคยเป็นพุทธมามกะและทานมังสวิรัติในชาติก่อน

8. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นที่รักของทุกๆ คนและมีเพื่อนมากมาย
เพราะคุณเคยสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อทุกคนในชาติก่อน

9. เหตุใดชาตินี้คุณมีพ่อ แม่อยู่พร้อมหน้า
เพราะคุณเคารพและให้ความช่วยเหลือ ไม่ดูแคลนคนไร้&shy;ญาติในชาติก่อน

10. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นเด็กกำพร้า
เพราะคุณเคยยิงนก ตกปลา และพรากสัตว์ในชาติก่อน

11. เหตุใดชาตินี้คุณมีอายุยืนแข็งแรง
เพราะคุณเคยปล่อยนก ปล่อยปลา สิ่งมีชีวิตในชาติก่อน

12. เหตุใดชาตินี้คุณอายุสั้น
เพราะชาติก่อนคุณเคยฆ่าสัตว์มากมาย

13. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนรับใช้
เพราะชาติก่อนคุณเคยดูถูกเหยียดหยามคนจน

14. เหตุใดชาตินี้คุณมีด??งตาสดใส
เพราะชาติก่อนคุณเคยเติมน้ำมันตะเกียงและจุดไฟบูชาพระ

15. เหตุใดชาตินี้คุณโง่ปั&shy;&shy;ญญาอ่อนและหูหนวก
เพราะชาติก่อนคุณเคยด่าว่าและหยาบคายต่อหน้าพ่อแม่

16. เหตุใดชาตินี้คุณต้องตายเพราะยาพิษ
เพราะชาติก่อนคุณเจตนาวางยาในต้นน้ำลำธารให้เป็นพิษ

17. เหตุใดชาตินี้คุณจึงแขวนคอตาย
เพราะชาติก่อนคุณใช้ตะข่ายล่าและดักสัตว์

18. ถ้าชาตินี้คุณฆ่าเขา
ชาติหน้าเขาก็จะฆ่าคุณ และจะฆ่ากันไป-มาไม่มีสิ้นสุด

19. ถ้าชาตินี้คุณบอกเล่ากฏแห่งกรรม
คุณจะเป็นที่เคารพนับถือมากมายในชาติหน้า

**อ่านเสร็จแล้ว ถ้าส่งต่อ ก็เหมือนได้ปฏิบัติตามกฏแห่งกรรม ข้อที่ 19 แล้ว ด้วยความปราถนาดี**

กรรมทันตา

ย้อนไปประมาณ 30 ปีก่อน ในซอยวัดโพธินิมิตร ตลาดพลู
ซอยนี้เป็นซอยใหญ่พอสมควร มีวัดอยู่กลางซอย 
รถยนต์เข้าถึงแค่วัด พอเลยไปหน่อยถนนแคบสวนกันได้แค่มอเตอร์ไซค์
สมัยก่อนยังไม่มีวินมอไซค์ หรือผู้มีอิทธิพลอย่างปัจจุบัน 
แต่ก็มีคนพาลประเภทเกเร ชอบรังแกคนอ่อนแอกว่าอยู่เสมอ

นายเปี๊ยก เป็นคนรูปร่างเล็กสันทัด อายุประมาณ 30-35 ปี อยู่ซอยนี้มาตั้งแต่เกิด
นิสัยอันทพาล ผ่านคุกตะรางมาหลายหลาก ชอบมั่วสุมอยู่กับวงเหล้า และบ่อนการพนัน แต่สมัยนั้นไม่ใช่บ่อนใหญ่โตแบบสมัยนี้
ชอบอวดศักดาด้วยการชกต่อยเด็กวัยรุ่นที่อายุน้อยกว่า ทำตัวอวดเบ่งว่าข้านี้เจ๋ง ใครหน้าไหนจะลองดีบ้าง ไม่รู้เพื่ออวดสาวหรือเปล่า....
นายเปี๊ยก บ่อยครั้งที่เมาเหล้าแล้วอาละวาดชกต่อย เป็นประจำ หมดเงินก็ไปไถเงินแม่ที่ขายข้าวแกงอยู่ในซอยนี้เหมือนกัน
ชาวบ้านในซอยนี้เอือมระอา แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่หลบๆ ไม่อยากยุ่งเกี่ยว 
ผมเองซึ่งเป็นเด็กรุ่นหลัง ก็ยังเคยถูกนายเปี๊ยก ชกคว่ำกลางซอย ต่อหน้าคนมาแล้ว
แต่เขามีนิสัยอย่างหนึ่งซึ่งน่าทุเรศมาก คือชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่าเป็นเรื่องสนุก โดยเฉพาะคนที่ไม่มีทางสู้
ที่วัดโพธิ์ฯ มีเด็กวัดคนหนึ่งชื่อ ไอ้อ่อน...อายุประมาณ15 ปี 
ที่ได้ชื่อนี้เพราะเป็นเด็กปัญญาอ่อนหน่อยๆ พูดไม่ค่อยได้ แต่ไม่ถึงกับเป็นใบ้ รูปร่างผอมๆ ขี้กลัว ไม่สู้คน สงสัยวัยเด็กเคยถูกทารุณมาก่อน
ไม่รู้เซซังมาจากไหนจนมาอยู่ที่วัดนี้ มีหน้าที่คอยกวาดขี้หมา หรืองานสารพัดแล้วแต่ใครจะเรียกใช้
ไอ้อ่อน มีนิสัยว่าง่าย ใครสั่งใครใช้ให้ทำอะไรก็ทำ แต่ไม่ไปไหนวนเวียนอยู่แถวๆ วัด กินข้าวก้นบาตรเป็นหลัก คอยดูแลหมา แมวในวัด
ชาวบ้านก็ให้ของกินบ้าง เสื้อผ้าบ้าง ซึ่งทุกครั้งไอ้อ่อนก็จะแสดงความขอบคุณ และรู้บุญคุณออกมาทางสายตาและกริยาอาการนอบน้อมเสมอ
ไอ้อ่อน คงทำกรรมบางอย่างไว้จึงต้องมาเป็นอย่างนี้ และยังมีกรรมอีกอย่างคือ มักจะถูก นายเปี๊ยก อันธพาลประจำซอยรังแกเป็นประจำ ถ้าเดินมาเจอกัน นายเปี๊ยกก็จะเดินเข้าไปตบหัวบ้าง เตะเล่นบ้าง ดุด่าระบายอารมณ์ต่างๆ นาๆ ก็ไม่เข้าใจว่าทำไปทำไม...
พระสงฆ์ท่านก็เคยห้ามปราม ขอให้สงสารมัน อย่ารังแกมันเลย แต่ก็เท่านั้น ไม่รู้ไอ้คนอย่างนี้ทำไมเวรกรรมถึงไม่สามารถทำอะไรได้
เหตุการณ์ก็เป็นอย่างนี้เป็นปีๆ …………………

กระทั่งวันหนึ่งตอนค่ำ นายเปี๊ยก ไม่รู้ไปกินเหล้าเมามาจากไหน เดินผ่านวัดมาเจอกับ ไอ้อ่อน ที่กำลังเก็บกวาดวัดอยู่คนเดียว
นายเปี๊ยก ก็ตรงเข้าไปหาเรื่องดุด่า ตบหัว ตามเคยเพราะเห็นว่ามันไม่สู้
แต่...ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น คราวนี้ ไอ้อ่อน มันหันมาจ้องหน้า 
นายเปี๊ยกก็ยิ่งโมโหใหญ่ ลงมือลงเท้ากระทืบ...
ไอ้อ่อน หันไปคว้าไม้หน้าสามได้มาอันหนึ่ง ขึ้นมาถือไว้
นายเปี๊ยก เห็นก็ยิ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เข้าไปเตะต่อย พร้อมด่าว่า ที่บังอาจสู้ทั้งๆ ที่ตัวเท่าลูกหมา
คงเป็นเวรกรรมมาถึง ไอ้อ่อนกลับฮึดสู้ เอาไม้หน้าสามฟาดไปหลายครั้ง
นายเปี๊ยกเห็นท่าไม่ดี ประกอบกับเมาหน่อยๆ ด้วย เลยวิ่งหนีเอาดื้อๆ
แต่ไอ้อ่อน ก็วิ่งตามมาทันที่มุมกำแพงวัด
คนที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าให้ฟังว่า 
ผ่านมา ได้ยินเสียงร้องโหยหวน จึงวิ่งเข้าไปดู เห็นไอ้อ่อนมันตีไม่ยั้ง
นายเปี๊ยกยกแขนขึ้นปิดป้อง ไอ้อ่อนก็ตีด้วยไม้หน้าสาม สุดแรง ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก ฟาดแล้ว ฟาดอีก ด้วยฤทธิ์คนบ้า
กว่าจะวิ่งไปตามคนมาช่วยกันห้ามได้ นายเปี๊ยกก็มีสภาพปางตาย กระดูกหักเกือบทั่วตัว หัวแตกเลือดอาบ นอนจมเลือดหมดสภาพ
ไอ้อ่อน ถูกตำรวจจับส่งสถานบำบัด จนบัดนี้ก็ไม่มีใครเคยพบอีก
นายเปี๊ยก ไม่ยักกะตาย รักษาตัวอยู่ประมาณปีกว่า กลับมาในสภาพพิการ แขนขาที่หักหมดก็ดีขึ้น แต่มีอาการคล้ายคนเป็นโปลิโอ 
เวลาเดินขโยกขเยก เหมือนดาวตลก คุณอ่างเถิดเทิงไม่มีผิด แต่ก็กลับมาอยู่ในซอยวัดโพธิ์ฯ เพราะไม่มีที่ไป 
คนในซอยที่เคยเอือมระอา เมื่อเห็นก็ได้แต่ปลง และอโหสิ
แต่ก็มีพวกเพื่อนนักเลงเหล้า นักเลงอันธพาลด้วยกัน ก็หัวเราะเยาะ ตบหัว รังแกเขาเหมือนกัน จนสุดท้ายทนไม่ไหว ต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น..
หวังว่าท่านที่ได้อ่านเรื่องนี้ จะได้สบายใจว่า กรรมไม่ได้ชักช้า
แต่ก็สนองคนที่ทำกรรมไว้ทันตาเห็น จริงๆ